อธิบาย CFROI ไว้ใช้คู่กับ ROIC ช่วยหาหุ้นดี แบบนักลงทุนเก่ง ๆ
27 พ.ย. 2024
สุดยอดเครื่องมือที่ไว้ใช้วัดผลตอบแทนในการทำธุรกิจของบริษัท ที่ทาง MONEY LAB มักจะเขียนถึงอยู่บ่อย ๆ ก็คือ ROIC
แต่รู้หรือไม่ว่า ROIC เองก็มีข้อจำกัดในการเอาไปใช้อยู่เหมือนกัน เพราะไม่สามารถบอกเราได้ว่า
ผลตอบแทนจากการลงทุนทำธุรกิจของบริษัท สุดท้ายสามารถสร้างเป็นกระแสเงินสดกลับมาจริง ๆ ได้เท่าไร
ทำให้บางบริษัทที่มี ROIC สูง อาจจะไม่ได้มีกระแสเงินสดจากการทำธุรกิจเข้ามาจริง ๆ ก็ได้..
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เราต้องมารู้จักกับ อีกอัตราส่วนทางการเงิน ที่จะมาช่วยเราในเรื่องนี้ นั่นก็คือ “CFROI”
และหากสงสัยว่า CFROI คืออะไร และจะเอาไปใช้ได้อย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
CFROI ย่อมาจาก Cash Flow Return on Investment เป็นอัตราส่วนทางการเงิน ที่จะช่วยบอกเราว่า จากเงินที่บริษัทลงทุนทำธุรกิจไปนั้น จะสามารถสร้างเป็นกระแสเงินสดกลับมาได้เท่าไร ?
วิธีคำนวณจะเริ่มจาก
1. การหา Invested Capital ก่อน
โดย Invested Capital คือเงินลงทุนทั้งหมดที่บริษัทใช้ไป เพื่อการทำธุรกิจ
คำนวณหาโดย
Invested Capital = ส่วนของผู้ถือหุ้น + หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย - เงินสดและสินทรัพย์ทางการเงิน
ลองมาดูตัวอย่างกันผ่านบริษัท A ในปี 2566
- ส่วนของผู้ถือหุ้น 1,500 ล้านบาท
- หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวม 100 ล้านบาท
- เงินสดและสินทรัพย์ทางการเงิน 350 ล้านบาท
เมื่อคำนวณออกมาแล้ว บริษัท A จะมี Invested Capital ในปี 2566 เท่ากับ 1,250 ล้านบาท
2. คำนวณหา CFROI ได้แล้ว
หลังจากที่เรารู้ว่า Invested Capital เป็นเท่าไรแล้ว ต่อมาก็คือ การสังเกตดู “เงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน” ของบริษัท ว่าเป็นเท่าไร
เงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน หรือ Operating Cash Flow คือกระแสเงินสดสุทธิ ที่บริษัทได้รับจากการทำธุรกิจ ในแต่ละงวดบัญชี ซึ่งเราสามารถดูได้ผ่านงบกระแสเงินสดของบริษัทเลย
ทีนี้สมมติให้บริษัท A มีเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน ในปี 2566 เท่ากับ 400 ล้านบาท
และพอเรารู้ทั้ง 2 อย่างนี้แล้ว เราก็จะสามารถคำนวณหา CFROI ออกมาได้เลยจากสูตรนี้
CFROI = (เงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน / Invested Capital) x 100%
ทำให้สุดท้ายแล้ว CFROI ของบริษัท A ในปี 2566 จะเท่ากับ
CFROI = (400 / 1,250) x 100% = 32%
หมายความว่า จากเงินที่บริษัทลงทุนทำธุรกิจไปนั้น สุดท้ายแล้ว บริษัทสามารถสร้างกำไรที่เป็นกระแสเงินสดจริง ๆ กลับมาได้ถึง 32% ของเงินที่ลงทุนไป นั่นเอง
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่าเราคงเข้าใจกันดีขึ้นแล้วว่า CFROI คืออะไร และมีวิธีในการคำนวณหาอย่างไร
สำหรับหลักการนำ CFROI ไปใช้ ก็จะคล้ายคลึงกับ ROIC เลย เช่น ดูว่าที่ผ่านมา บริษัททำ CFROI ได้สูงกว่า 15% อย่างสม่ำเสมอหรือไม่
ถ้าทำได้มากกว่า 15% อย่างสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ก็หมายความว่า บริษัทมีความแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้คุ้มค่า ทำให้มีกระแสเงินสดกลับมาสู่บริษัทได้เรื่อย ๆ
นอกจากนี้ เราก็สามารถนำ CFROI ไปเปรียบเทียบกับต้นทุนเงินทุนเฉลี่ยของกิจการ หรือ WACC ที่เป็นการเฉลี่ยต้นทุนระหว่างต้นทุนในการกู้ยืมเงิน และต้นทุนส่วนของเจ้าของ ได้เช่นกัน
และถ้าหาก CFROI มากกว่า WACC ก็ถือว่า บริษัททำผลตอบแทนจากการลงทุนได้คุ้มค่า เพราะผลตอบแทนที่ได้ มากกว่าต้นทุนเฉลี่ยของบริษัท นั่นเอง
สุดท้ายนี้ เมื่อเราคำนวณหา ROIC ของแต่ละบริษัทออกมาได้แล้ว เราก็อย่าลืมตรวจสอบให้ลึกไปอีกขั้น ด้วยการคำนวณหา CFROI ออกมาด้วย
เพราะการดู CFROI ควบคู่ไปด้วย จะช่วยปิดข้อจำกัดของ ROIC ที่คำนวณจากกำไร แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าบริษัทผลิตเงินสดได้ดีแค่ไหน
เนื่องจากบางครั้ง ตัวเลข ROIC สูง ๆ ที่เราเห็น อาจจะเป็นเพียงภาพลวงตาในงบการเงินก็ได้ เพราะคำนวณมาจากกำไร แต่ CFROI จะเป็นตัวช่วยชี้ให้ชัดว่า ROIC ที่สูงนั้น เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่
บริษัทที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดี และสร้างกระแสเงินสดกลับมาได้คุ้มค่าการลงทุนจริง ๆ ในระยะยาว จึงควรมีทั้ง ROIC และ CFROI สูงเคียงคู่กันไป
อย่างไรก็ตาม แม้ ROIC และ CFROI จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก แต่เราก็อย่าลืมวิเคราะห์บริษัทในด้านอื่น ๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันด้วย
เช่น วิเคราะห์ความสามารถของผู้บริหาร และความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนของบริษัท รวมถึงการวิเคราะห์เชิงคุณภาพในด้านอื่น ๆ
หากทำได้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ สักวันเราก็คงจะกรองหาหุ้นของบริษัทดี ๆ ให้เข้ามาอยู่ในพอร์ตได้
และทำให้เราลงทุนอย่างมีความสุข ถือหุ้นแล้วหลับสบายได้ ในทุกคืน โดยไม่ต้องคร่ำเครียดกันจนเกินไป..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#CFROI
References