กรณีศึกษา THG เจ้าของโรงพยาบาลธนบุรี ใน 2 ปี มูลค่าหายไป 80%
23 พ.ย. 2024
หุ้น Defensive อย่างเช่น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มอาหาร มักถูกมองว่าเป็นหุ้นความเสี่ยงต่ำ ด้วยรายได้และกำไรที่มีเสถียรภาพ
ทำให้หุ้นกลุ่มเหล่านี้กลายเป็นหลุมหลบภัย ให้นักลงทุนในช่วงตลาดผันผวน
แต่รู้หรือไม่ว่า หากเราซื้อหุ้น THG เมื่อ 2 ปีก่อน
ตอนนี้เงินของเราจะหายไปราว -80%
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ THG ทำไมมูลค่าบริษัทถึงหายไปมากขนาดนี้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุนให้เข้าใจง่าย ๆ
บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เป็นเจ้าของเครือโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่มีสาขา ในประเทศ 10 แห่ง และอีก 1 แห่งในเมียนมา
เรื่องราวของ THG เริ่มต้นจากคุณหมอบุญ วนาสิน แพทย์ประจำโรงพยาบาลศิริราช ที่เห็นสภาพความแออัด ของคนไข้ที่รอรับการรักษาจำนวนมาก และในตอนนั้น ย่านฝั่งธนบุรีก็ยังไม่มีโรงพยาบาลเอกชน
คุณหมอบุญและกลุ่มแพทย์ จึงร่วมกันก่อตั้ง โรงพยาบาลธนบุรี ขึ้นในปี 2519
ปัจจุบัน THG มีรายได้หลักมาจาก
- ธุรกิจโรงพยาบาล 96%
- ธุรกิจให้บริการดูแลสุขภาพ และอื่น ๆ 4%
ลองมาดูผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมากัน
ปี 2563 รายได้ 7,446 ล้านบาท กำไร 62 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 10,975 ล้านบาท กำไร 1,337 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 11,984 ล้านบาท กำไร 1,602 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 9,987 ล้านบาท กำไร 295 ล้านบาท
และล่าสุด 9 เดือน ปี 2567 รายได้ 7,325 ล้านบาท
ขาดทุน 303 ล้านบาท
จากข้อมูลจะเห็นว่า ช่วงปี 2563-2565 รายได้และกำไร เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่เกิด เหตุการณ์โรคระบาด
และ THG เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลหลักที่ร่วมมือ
กับรัฐในการรับมือสถานการณ์ ทั้งการจัดตั้ง Hospitel การให้บริการฉีดวัคซีนของรัฐ รวมถึงการนำเข้าวัคซีนทางเลือกมาฉีดเอง
ซึ่งรายได้เหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนราว 34% ของปี 2564 และ 24% ของปี 2565
ในช่วงนั้นไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์โรคระบาดจะจบลงเมื่อไร เพราะมีการกลายพันธุ์และระบาดเป็นระลอก ๆ ทำให้เกิดความคาดหวังว่ารายได้พิเศษเหล่านี้จะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
จึงไม่น่าแปลกใจที่มูลค่าบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 20,000 ล้านบาทในช่วงปี 2563 ไปทำจุดสูงสุดที่ถึง 80,000 ล้านบาทในปี 2565
แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนในช่วงปี 2565-2567 เมื่อสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลาย ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น มีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น
และทำให้รายได้พิเศษจากการรักษาผู้ป่วยใน Hospitel และการฉีดวัคซีน ที่เคยสูงถึง 30% หายไป
รวมถึงโครงการที่เป็นความหวังของกลุ่มธุรกิจให้บริการดูแลสุขภาพ อย่างโครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ โครงการที่พักอาศัยครบวงจรสำหรับผู้สูงอายุ ก็ยังทำรายได้ไม่ได้ตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างเช่น การที่ ก.ล.ต. ฟ้องคุณหมอบุญ การตรวจพบรายการน่าสงสัยเกี่ยวกับการกู้เงิน
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประเด็นลบเข้ามากดดัน ส่งผลให้ มูลค่าบริษัทลดลงอย่างรวดเร็ว จาก 80,000 ล้านบาท เหลือเพียง 14,000 ล้านบาทในปัจจุบัน
และล่าสุด ดูเหมือนข่าวร้ายที่กดดันทาง THG ก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จากประเด็นที่ศาลออกหมายจับคุณหมอบุญและครอบครัว ในคดีฉ้อโกง ซึ่งคาดว่ามีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 8,000 ล้านบาท
อ่านถึงตรงนี้ก็จะเห็นแล้วว่า แม้แต่หุ้นกลุ่มที่ดูเหมือนจะปลอดภัย และไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา อย่างกลุ่มโรงพยาบาล ก็สามารถมีความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่ได้
อย่างในกรณีของ THG ก็มีทั้งรายได้พิเศษจากโรคระบาด ซึ่งก็คาดเดาได้ยากว่าจะหายไปตอนไหน และการทุจริตของเหล่าอดีตผู้บริหาร
เรื่องนี้จึงเป็นอีกกรณีศึกษาชั้นดีที่ทำให้เราได้เห็นว่า นอกจากการตรวจสอบคุณภาพของรายได้และกำไร ที่ปรากฏอยู่ในงบการเงินแล้ว
การตรวจสอบคุณภาพของทั้งคณะผู้บริหาร กรรมการ และบอร์ดของกิจการที่เราลงทุนอยู่ ว่ามีธรรมาภิบาล และตั้งใจปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นหรือไม่ ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันเลย..
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้น การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน
References
-คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2567
-คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ประจำปี 2563-2566