สรุปธุรกิจ BYD ผลิตได้ทั้งรถ และแบตเตอรี่ จนวันนี้ เอาชนะ Tesla
20 ก.ย. 2024
ท่ามกลางสงครามการค้า ที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดหลายปี ระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ และจีน
ดูเหมือนว่าอุตสาหกรรม EV จะเป็นเพียงไม่กี่อุตสาหกรรมที่จีนถือไพ่เหนือกว่าสหรัฐฯ
เพราะผู้เล่นรายสำคัญของจีนอย่าง BYD สามารถส่งมอบรถยนต์ BEV ได้มากกว่า Tesla เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ที่ผ่านมานี้เอง
ที่น่าสนใจคือ นักลงทุนที่มีแค่พอร์ตหุ้นไทย ก็สามารถซื้อหุ้น BYD ได้ ผ่านเครื่องมือ DR ที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย ชื่อว่า “BYDCOM80”
แล้ว BYD ทำอย่างไร ถึงสามารถเอาชนะ Tesla ได้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
BYD ย่อมาจากคำว่า “Build Your Dream” แปลเป็นไทยว่า “จงสร้างฝันของคุณ”
สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาจจะคิดว่าคำกล่าวนี้ เป็นการกระตุ้นให้ลูกค้ามีความทะเยอทะยาน หาเงินมาซื้อรถในฝันของตัวเอง
แต่สำหรับผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างคุณ Wang Chuanfu แล้ว บริษัทแห่งนี้ เปรียบเสมือนอาณาจักรธุรกิจที่สร้างขึ้นจากความฝันของเขา
เพราะเขาเป็นเพียงลูกชาวนาที่ยากจน ที่มีความฝันอยากเปลี่ยนแปลงฐานะของตัวเอง
ตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงเป็นคนที่ทุ่มเทกับการเรียนอย่างมาก เมื่อเรียนจบปริญญาโท เขาก็ทำงานเป็นนักวิจัยโลหวิทยา ในหน่วยงานวิจัยของรัฐบาล
ทำให้เขามองเห็นโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในประเทศจีน
คุณ Wang จึงลาออกมาก่อตั้งบริษัท BYD ขึ้นมาในปี 1995 เพื่อผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือ
ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี BYD สามารถครองส่วนแบ่งตลาดแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือทั่วโลกได้มากกว่า 50% เลยทีเดียว
จนในปี 2002 คุณ Wang ก็นำ BYD เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้สำเร็จ
และอีก 1 ปีต่อมา BYD ก็เข้าสู่ธุรกิจยานยนต์ โดยการเข้าซื้อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อย่าง Tsinchuan Automobile ที่กำลังล้มละลาย
จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท BYD Auto โดยในช่วงแรกก็ยังคงผลิตรถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมัน เหมือนผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ
แต่พอมาปี 2008 บริษัทก็เริ่มผลิตรถยนต์แบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลก โดยการใช้ความชำนาญของการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ มาพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นรถยนต์ไฮบริด
การคิดค้นเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่าปฏิวัติวงการรถยนต์ของ BYD ทำให้คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังของโลก เข้ามาซื้อหุ้น BYD คิดเป็นมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท
แม้คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ จะทยอยขายหุ้น BYD ไปบางส่วนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ปัจจุบันคุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ยังคงถือหุ้น BYD คิดเป็นมูลค่ามากถึง 53,600 ล้านบาท
จากความสำเร็จในการผลิตรถยนต์ไฮบริด ทำให้ในวันนี้ BYD กลายมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบได้สำเร็จ
เราลองมาดูส่วนแบ่งทางการตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งปี 2023 กัน
1. Tesla กินส่วนแบ่งตลาด 19.9%
2. BYD กินส่วนแบ่งตลาด 17.1%
3. GAC Aion กินส่วนแบ่งตลาด 5.2%
แม้ในเรื่องส่วนแบ่งทางการตลาด BYD จะตามหลัง Tesla แต่ถ้าในเรื่องการผลิตแล้ว BYD เป็นฝ่ายชนะ
เพราะในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 BYD ก็สามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าไปได้ 526,000 คัน มากกว่า Tesla ที่ส่งมอบได้ 485,000 คัน
และต้องไม่ลืมว่า ถ้าเรามองย้อนกลับไปในปี 2020 BYD มีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเพียงแค่ 6% เท่านั้น ขณะที่ Tesla มีส่วนแบ่งมากถึง 23%
หรือก็คือระยะห่างระหว่าง BYD กับ Tesla ก็กำลังแคบลงเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้นเอง
สาเหตุที่ Tesla กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้ BYD มีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์โรคระบาดในปี 2020-2021
Tesla เป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่ไม่มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นของตัวเอง แต่อาศัยซัปพลายเออร์จากจีน คือ CATL รวมถึง BYD ในการผลิตแบตเตอรี่ให้
อย่างไรก็ตามในปี 2020-2021 ทั่วโลกยังอยู่ในช่วงที่มีโรคระบาด ทำให้มาตรการล็อกดาวน์ เป็นอุปสรรคต่อการขนส่งสินค้า
แบตเตอรี่ของ Tesla ที่ส่วนใหญ่ผลิตจากจีน จึงไม่สามารถส่งมาทางท่าเรือของจีนได้อย่างเต็มที่ เพราะจีน เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้น
ซึ่งแบตเตอรี่ เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า หากไม่มีแบตเตอรี่แล้ว ก็ไม่สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้
หันกลับมาดูฝั่ง BYD กันบ้าง ด้วยความที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือมาก่อน ทำให้ BYD มีโรงงานในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นของตัวเอง
เรื่องที่น่าตลกก็คือ BYD เป็นคู่แข่ง Tesla ในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าก็จริง แต่ในอีกขาหนึ่ง ก็เป็นซัปพลายเออร์แบตเตอรี่ไฟฟ้าให้ Tesla ด้วยเช่นกัน
และด้วยความที่ BYD ทำธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ ยันปลายน้ำแบบนี้แล้ว จึงทำให้ในปี 2020-2021 ที่แบตเตอรี่ของ Tesla ยังติดอยู่ที่ท่าเรือเซี่ยงไฮ้
BYD ที่มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่เป็นของตัวเอง ก็สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ แบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น
ข้อดีอีกอย่างของการมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่เป็นของตัวเอง คือ BYD สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้มีราคาต่ำกว่าคู่แข่งได้อีกด้วย
ทำให้ BYD ยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามาได้จนถึงทุกวันนี้
เรื่องนี้เป็นบทเรียนสำคัญในวงการธุรกิจได้เป็นอย่างดี เพราะโลกธุรกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ถ้าเราไม่ป้องกันความเสี่ยงกับห่วงโซ่การผลิตสินค้าของเราดี ๆ แล้วมีเหตุการณ์ที่กระทบกับห่วงโซ่การผลิตของเราอย่างไม่คาดฝัน
คู่แข่งที่ดูเหมือนจะตามหลังเราไกล ๆ วันหนึ่งก็อาจไล่ตามหลังเรามาติด ๆ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
โดยเฉพาะถ้าคู่แข่งรายนั้นมีอำนาจควบคุมห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ ยันปลายน้ำ เหมือนกรณีของ BYD ที่เพิ่งโค่น Tesla ในด้านของการผลิต
และยังมีสิทธิ์จะขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในเรื่องของส่วนแบ่งการตลาดด้วย..
#ลงทุน
#DR
#สรุปDRวันละตัว
References
-https://www.visualcapitalist.com/visualizing-global-electric-vehicle-sales-in-2023-by-market-share/