
Net Cash Ratio เคล็ดลับหาหุ้นดี ในตลาด Lost Decade ของนักลงทุนในตำนาน แห่งญี่ปุ่น | MONEY LAB
12 ก.พ. 2025
เมื่อไม่นานมานี้ ทาง MONEY LAB เพิ่งได้เขียนบทความเล่าประวัติของคุณ Tatsuro Kiyohara นักลงทุนในตำนานแห่งญี่ปุ่นไป
ซึ่งตลอดช่วงระยะเวลา 25 ปีที่เขาบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ เขาสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ถึง 9,300% หรือคิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย แบบทบต้น ปีละ 20%
แม้ว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่เขาลงทุนอยู่ จะเจอกับภาวะ Lost Decade จนไม่ไปไหนนานเกินกว่า 30 ปี
แน่นอนว่าการจะทำแบบนี้ได้ คุณ Tatsuro เอง ก็มีเคล็ด (ไม่) ลับ ในการกรองหาหุ้นที่น่าสนใจ เพื่อไปทำการศึกษาต่อ ก่อนที่จะลงทุนด้วย
หากสงสัยว่า เคล็ดลับที่คุณ Tatsuro ใช้ มีอะไรบ้าง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
หุ้นที่คุณ Tatsuro มักจะชอบลงทุน จะเป็นหุ้นประเภทขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่มีราคาถูก แต่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
ซึ่งสิ่งแรกที่คุณ Tatsuro มักจะชอบทำในการหาหุ้นก็คือ การกรองหาหุ้น ด้วยการหาบริษัทที่มีค่า P/E Ratio ต่ำ แต่มี Net Cash Ratio สูง
โดยปกติแล้ว อย่างที่เรามักจะรู้กันว่า หุ้นที่มีค่า P/E Ratio ต่ำ และ P/BV Ratio ต่ำ มักจะถูกมองว่า เป็นบริษัทที่มีราคาหุ้นถูกมาก
แต่ความจริงแล้ว การจะมองแค่นั้นก็ยังไม่พอ เพราะคุณ Tatsuro มองว่า บริษัทที่มี P/E Ratio ต่ำ อาจจะไม่ได้หมายความว่า หุ้นของบริษัทนี้ราคาถูกก็ได้
เพราะถ้าเกิดเป็นบริษัทที่มีคุณภาพการเติบโตไม่ดี ผลประกอบการของบริษัทตกต่ำลงเรื่อย ๆ จนกำไรของบริษัทลดลง หรืออาจจะมีผลขาดทุน
ค่า P/E Ratio จากที่ดูต่ำ ก็จะกลายเป็นสูงขึ้นทันที ซึ่งหมายความว่า ราคาหุ้นของบริษัทนี้ จริง ๆ แล้ว ถือว่าแพงมาก
หรือในกรณีที่เราอาจจะมองไปที่ บริษัทที่มีค่า P/BV Ratio ต่ำ เช่น ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งหมายความว่า ราคาหุ้นของบริษัทต่ำกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น ก็ยังไม่ได้หมายความว่า บริษัทนั้นมีราคาถูกเช่นกัน
เพราะถ้าบริษัทนั้น เกิดเป็นบริษัทที่มีคุณภาพแย่ ผลประกอบการตกต่ำ มีการขาดทุนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงด้วย
ถ้าสมมติเกิดเหตุการณ์แบบนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง แต่ถ้าเกิดราคาหุ้นไม่ได้ลดลงตาม ค่า P/BV Ratio ก็จะกลายเป็นสูงขึ้น นั่นก็จะกลายเป็นว่า หุ้นของบริษัทนี้ จะถือว่ามีราคาไม่ถูกอีกแล้ว
แต่ก็อาจจะมีนักลงทุนบางคนคิดว่า การที่ให้ความสำคัญกับ P/BV Ratio ที่ต่ำ เพราะคิดในเชิงว่า ส่วนของผู้ถือหุ้นนี้ คิดเป็นมูลค่าการเลิกกิจการของบริษัทแล้ว
ถ้าวันหนึ่งบริษัทเกิดเลิกกิจการ แล้วขายทรัพย์สิน เช่น โรงงาน เครื่องจักร และอุปกรณ์ ที่มีอยู่ทั้งหมดออกไป ก็จะได้เป็นเงินสดกลับมา พร้อมจ่ายเงินคืนผู้ถือหุ้น
ทำให้ถ้าบริษัทมีค่า P/BV Ratio ต่ำกว่า 1 เท่ามาก ๆ ก็มักจะคิดกันว่า ได้เงินสดจากการเลิกกิจการ มากกว่าราคาหุ้นของบริษัทเสียอีก ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ถือหุ้นอยู่ ได้กำไรไปด้วย
แต่ความเป็นจริงแล้ว การคิดแบบนี้ เป็นการลืมมองประเด็นเรื่องการด้อยค่าทรัพย์สินไป และยังลืมมองประเด็นในเรื่องของความยุ่งยากที่เกิดขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะตามมาในกรณีที่เกิดการเลิกกิจการด้วย
พอพบว่า เราไม่ควรมองไปที่ค่า P/E Ratio และ P/BV Ratio อย่างผิวเผิน ทางคุณ Tatsuro ก็เลยใช้ Net Cash Ratio เข้ามาช่วยในการกรองหาหุ้นด้วย
Net Cash Ratio หรือ อัตราส่วนเงินสดสุทธิ
สามารถคำนวณหาได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ใน 2 ขั้นตอน
1. หาเงินสดสุทธิออกมาก่อน ตามสูตรต่อไปนี้
เงินสดสุทธิ = สินทรัพย์หมุนเวียน + (เงินลงทุนระยะยาว x 70%) - หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย
โดยการที่คุณ Tatsuro ให้มูลค่าเงินลงทุนระยะยาวอยู่แค่ 70% เท่านั้น ก็เป็นเพราะว่า ในหลาย ๆ ครั้งสินทรัพย์แบบนี้ จะถูกขายออกมาในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี จึงคิดลดไว้ก่อนตั้งแต่แรก
ซึ่งถ้าคำนวณออกมาแล้ว เงินสดสุทธิเป็นบวก ก็หมายความว่า บริษัทมีเงินสดมากกว่าหนี้สิน
แต่ถ้าเกิดเงินสดสุทธิติดลบ ก็หมายความว่า บริษัทมีหนี้สินมากกว่าเงินสด
ตัวอย่างเช่น บริษัท A มีเงินสดและสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด 30,000 ล้านบาท และมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 5,000 ล้านบาท
ทำให้บริษัท A จะมีเงินสดสุทธิ 25,000 ล้านบาท
2. คำนวณหา อัตราส่วนเงินสดสุทธิ ได้โดย
อัตราส่วนเงินสดสุทธิ = เงินสดสุทธิ / มูลค่าตลาดบริษัทในปัจจุบัน
จากการคำนวณก่อนหน้า บริษัท A จะมีเงินสดสุทธิ 25,000 ล้านบาท และตอนนี้บริษัท A มีมูลค่าตลาดในปัจจุบัน หรือ Market Cap เท่ากับ 60,000 ล้านบาท
ดังนั้น บริษัท A จะมีอัตราส่วนเงินสดสุทธิเท่ากับ
25,000 / 60,000 = 0.42 เท่า
- อัตราส่วนเงินสดสุทธิ น้อยกว่า 1 เท่ามาก ๆ หมายความว่า บริษัทมีเงินสดสุทธิอยู่น้อย เมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัท
- อัตราส่วนเงินสดสุทธิ เท่ากับ 1 เท่า หมายความว่า เงินสดสุทธิที่บริษัทมีอยู่ เท่ากับมูลค่าของบริษัทเลย
ทำให้ถ้าเราลงทุนในบริษัทนี้ ก็เปรียบเสมือนว่าเรากำลังได้บริษัทนี้มาแบบฟรี ๆ
- อัตราส่วนเงินสดสุทธิ มากกว่า 1 เท่า หมายความว่า เงินสดสุทธิที่บริษัทมีอยู่ มากกว่ามูลค่าของบริษัทเสียอีก
ถ้าเราได้ลงทุนในบริษัทนี้ ก็เหมือนกับว่า นอกจากเรากำลังจะได้ของฟรีแล้ว เรายังได้เงินสดบางส่วน แถมมาให้กับเราด้วยนั่นเอง
นอกจากนี้ เมื่อเรารู้อัตราส่วนเงินสดสุทธิของบริษัทแล้ว เราก็ยังสามารถนำมาใช้คำนวณหา “Cash-Neutral PER” ได้ด้วย
Cash-Neutral PER ก็คือ การแปลงค่า P/E Ratio ของบริษัทนั้น ให้กลายมาเป็น “อัตราส่วน P/E Ratio เมื่อมีเงินสดสุทธิ ไม่เป็นบวกและไม่ติดลบ”
หรือก็คือตั้งต้นให้เงินสดสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบระหว่างบริษัทที่มีโครงสร้างทางการเงินแตกต่างกันได้ ว่าอัตราส่วน P/E ของบริษัทไหนควรสูงกว่า
โดยวิธีนี้จะสามารถใช้ได้ในกรณีที่ อัตราส่วนเงินสดสุทธิเป็นบวก และต่ำกว่า 1 เท่า เท่านั้น ซึ่งจะคำนวณหาได้จาก
Cash-Neutral PER = (P/E Ratio ของบริษัท) x (1 - อัตราส่วนเงินสดสุทธิ)
สมมติให้ บริษัท A จากตัวอย่างของเรามี P/E Ratio ในปัจจุบันที่ 15 เท่า
ด้วยอัตราส่วนเงินสดสุทธิ ที่เราคำนวณได้ ซึ่งก็อยู่ที่ 0.42 เท่า
ดังนั้น บริษัท A จึงมี Cash-Neutral PER เท่ากับ
(15 เท่า) x (1 - 0.42) = 8.7 เท่า
8.7 เท่านี้ หมายความว่า เมื่อนำเงินสดมาหักออกจากมูลค่าของบริษัทแล้ว ถ้าเราลงทุนในหุ้นของบริษัทนี้ จากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในปัจจุบัน
หากบริษัทสามารถทำกำไรได้เท่านี้ไปตลอด เราจะใช้เวลาแค่ประมาณ 9 ปีเท่านั้น ก็จะคืนทุนแล้ว
โดยปกติแล้ว คุณ Tatsuro มักจะคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุน ผ่านการดู 2 อัตราส่วน คือ P/E Ratio และ Net Cash Ratio
แต่เมื่อใช้อัตราส่วน Cash-Neutral PER ก็เหมือนกับการได้ยุบรวมอัตราส่วน 2 ตัวข้างต้น ให้มาเหลือแค่อัตราส่วนตัวเดียวแล้ว
ซึ่งถ้าพบว่า บริษัทมี Cash-Neutral PER ที่ต่ำมาก ก็ถือว่า บริษัทนี้มีราคาหุ้นถูกมาก เป็นบริษัทที่ควรจะไปทำการบ้าน เพื่อค้นคว้าต่อ
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะเข้าใจกันดีขึ้นแล้วว่า คุณ Tatsuro Kiyohara นักลงทุนในตำนานแห่งญี่ปุ่น มีหลักการในการกรองหาหุ้นดีราคาถูกได้อย่างไร แม้จะลงทุนในวันที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นไม่ไปไหน
สรุปแล้วก็คือ คุณ Tatsuro จะชอบบริษัทที่มี P/E Ratio ต่ำ และมี Net Cash Ratio สูง
และเพื่อให้เหลืออัตราส่วนที่ต้องดูเพียงตัวเดียว คุณ Tatsuro ก็ยุบรวมทั้ง 2 อัตราส่วนนี้ มาเป็นอัตราส่วนตัวเดียว คือ Cash-Neutral PER
และถ้าพบว่า บริษัทมี Cash-Neutral PER ต่ำ ก็หมายความว่า บริษัทนี้มีราคาหุ้นถูก
อย่างไรก็ตาม คุณ Tatsuro ก็ไม่ได้ดูอยู่แค่นี้เท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้ว คุณ Tatsuro ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของธุรกิจ และคุณภาพของผู้บริหารเป็นอย่างมาก
เช่น การดูว่า ธุรกิจนี้มีอนาคตที่จะเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืนหรือไม่
และบริษัทมีผู้บริหารที่มีความสามารถ มีทีมงานที่เก่ง มีความตั้งใจในการทำงาน และมีธรรมาภิบาลที่น่าเชื่อถือดีแค่ไหน
แต่สำหรับในขั้นตอนแรก ก็จะเริ่มจากการดูที่ P/E Ratio และ Net Cash Ratio ก่อน เพื่อช่วยให้คุณ Tatsuro กรองหาหุ้นที่น่าสนใจ จะได้ไปศึกษาต่อง่ายขึ้น นั่นเอง..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#หุ้นญี่ปุ่น
References
-หนังสือ วิถีแห่งการลงทุนของผม บทเรียนจากเซียนหุ้นญี่ปุ่น (2024) โดย Tatsuro Kiyohara