สรุป หลักการลงทุน Shigeru Fujimoto คุณปู่นักเทรดหุ้น ที่ขาดทุนหนัก 2 ครั้ง ก็ยังกลับมาได้
2 ต.ค. 2024
หลังรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างหวุดหวิด ด้วยการคลานออกมาทางหน้าต่างพร้อมภรรยา
คุณ Shigeru Fujimoto ทำได้เพียงแค่ยืนมองเศษซากของสิ่งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเรียกว่าบ้าน ซึ่งพังลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น เมื่อปี 1995
แต่สิ่งที่ถูกบดขยี้อยู่ใต้ซากปรักหักพังนั้น นอกจากข้าวของเครื่องใช้ในบ้านแล้ว ก็ยังมีใบหุ้นและหุ้นกู้ต่าง ๆ ที่คุณ Fujimoto ต้องใช้ยืนยันว่าตัวเองเป็นเจ้าของหุ้น และหุ้นกู้ที่เขาถืออยู่จริง ๆ
ซึ่งสำหรับเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ที่การเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ยังไม่แพร่หลาย ก็หมายความว่า ความมั่งคั่งที่เขาพยายามสะสมมา กลับสลายไปในเวลาแค่พริบตาเดียว
ถึงตรงนี้ถ้าเป็นเราเอง ก็คงตอบได้ยากเหมือนกัน ว่าจะกลับมาเริ่มต้นสร้างความมั่งคั่งใหม่ ได้อีกครั้งหรือไม่ ?
แต่สำหรับคุณ Fujimoto แล้ว เขายังเลือกที่จะกลับมาลงทุนเพื่อสร้างตัวอีกครั้ง จนวันนี้มีความมั่งคั่งถึง 455 ล้านบาท
แต่สำหรับคุณ Fujimoto แล้ว เขายังเลือกที่จะกลับมาลงทุนเพื่อสร้างตัวอีกครั้ง จนวันนี้มีความมั่งคั่งถึง 455 ล้านบาท
แล้วเส้นทางชีวิตของคุณ Fujimoto เป็นอย่างไร รวมถึงมีหลักคิดอะไร ที่ทำให้เขายังคงลงทุนอยู่ในวันนี้ แม้อายุจะปาเข้าไปถึง 88 ปีแล้ว ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ผู้เปิดประตูสู่เส้นทางการลงทุน ของคุณ Fujimoto คือลูกค้าประจำ ที่เข้ามาซื้ออาหารสุนัข ในร้านขายอาหารสัตว์เลี้ยง ที่คุณ Fujimoto ในวัย 19 ปี กำลังทำงานอยู่
ซึ่งด้วยความที่ลูกค้าคนนั้น ทำงานอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์ ทำให้เขาได้ชักชวนให้คุณ Fujimoto มาลองลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่น่าจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลก
ถึงอย่างนั้น คุณ Fujimoto ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเงินมากนัก จึงไม่กล้าที่จะลงทุน อีกทั้งในตอนนั้น เขาได้เจอกับช่องทางทำเงิน อย่างการเป็นเจ้าของร้านเล่นไพ่ Mahjong เสียก่อน
โดยธุรกิจของคุณ Fujimoto ก็ค่อนข้างไปได้สวย เพราะในเวลาเพียงแค่ 10 ปี ก็ขยับขยายธุรกิจ จนมีร้านมากถึง 3 สาขา
แต่เหมือนว่าโชคชะตา เลือกมาแล้วว่าคุณ Fujimoto ต้องเข้าสู่เส้นทางการลงทุน เพราะในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1980
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในตอนนั้น กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นตอนนั้นก็ขึ้นอย่างร้อนแรงตามไปด้วย
ด้วยการเห็นคนรอบกายทำเงินได้มหาศาลอย่างง่าย ๆ จากตลาดหุ้น คุณ Fujimoto จึงตัดสินใจขายธุรกิจร้านเล่นไพ่ Mahjong ทั้งหมด
พร้อมกับกำเงิน 65 ล้านเยน (ประมาณ 19 ล้านบาท ในปัจจุบัน) ที่ได้จากการขายธุรกิจ เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น
และตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ไม่ทำให้คุณ Fujimoto ผิดหวัง เพราะในเวลาแค่ 4 ปี ความมั่งคั่งของเขาก็เติบโตไปเป็น 1,000 ล้านเยน (ประมาณ 276 ล้านบาทในปัจจุบัน)
แต่พวกเราที่นั่งอ่านบทความนี้ ก็คงรู้กันดีว่าตอนจบ ของตลาดหุ้นแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้เป็นอย่างไร..
ฟองสบู่ตลาดอสังหาฯ ของประเทศญี่ปุ่นแตกออก พร้อมกับฉุดเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นของประเทศญี่ปุ่น ลงเหวตามไปด้วย
ทำให้ในเวลาไม่ถึงปี ความมั่งคั่งของคุณ Fujimoto ก็ลดลงเหลือเพียงแค่ 200 ล้านเยนเท่านั้น หรือก็คือขาดทุนไปแล้วกว่า 80%..
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเขา เพราะอีก 4 ปีต่อมา ใบหุ้นและหุ้นกู้ต่าง ๆ ที่เขาเก็บไว้ ก็ถูกทำลายไปกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เหมือนที่ได้เล่าไปข้างต้น
คุณ Fujimoto เองก็เป็นคน ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ทำให้เมื่อเจอกับความสูญเสียหนักขนาดนี้ เขาเองก็พักเรื่องการลงทุนไปอยู่นานหลายปี
จนกระทั่งในปี 2002 การมาถึงของอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ ช่วยให้การซื้อขายหุ้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นผ่านทางออนไลน์ แถมยังมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ
คุณ Fujimoto จึงหวนคืนสู่สังเวียนการลงทุนอีกครั้ง ด้วยการซื้อคอมพิวเตอร์ แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะอายุ 66 ปีแล้ว และใช้คอมพิวเตอร์แทบไม่เป็นเลยก็ตาม
แต่ด้วยความอดทนเรียนรู้ ก็ทำให้ในตอนนี้ เขาใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างคล่องแคล่ว จนสามารถเทรดหุ้นด้วยการดู 3 หน้าจอไปพร้อมกันได้แล้ว
ปัจจุบันนี้แม้จะมีความมั่งคั่งหลายร้อยล้านบาท แต่เขาก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ด้วยการใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ และตื่นตั้งแต่ตี 2 ทุกวัน
เพื่อมาอ่านบทวิเคราะห์เกี่ยวกับตลาดหุ้น ทั้งของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น สำหรับเตรียมตัวเทรดตอนตลาดเปิดในเวลา 9 โมงเช้า และจดบันทึกการเทรดของตัวเองอยู่เสมอ
ซึ่งหลักการลงทุนที่คุณ Fujimoto ยึดถือนั้น ก็มีอยู่ 3 ข้อง่าย ๆ
1. ซื้อหุ้นให้ถูกบริษัท ในเวลาที่ถูกต้อง
แม้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่งจะกลับมาสดใสอีกครั้ง ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลังจากดำดิ่งมาอย่างยาวนาน
แต่ช่วงเวลาอันมืดมนนั้นเองที่คุณ Fujimoto ยังสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ นั่นก็เป็นเพราะว่า แม้ในตลาดหุ้นที่แย่ ก็ยังคงมีหุ้นที่ดีอยู่เสมอ เพียงแค่เราจะหามันเจอหรือไม่เท่านั้น
แถมในช่วงที่ตลาดขาลงแบบนั้น หุ้นดี ๆ ก็มักจะไม่รอด โดนเทขายออกมาด้วย ทำให้การหาหุ้นดี ๆ ในราคาไม่แพง จึงไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะฉะนั้น การศึกษาธุรกิจให้ถี่ถ้วน เพื่อแยกระหว่างหุ้นที่ดีและหุ้นที่แย่ออกจากกัน เพื่อให้ตัวเองตัดสินใจได้ถูกต้อง มากกว่าตัดสินใจพลาด คือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณ Fujimoto สร้างความมั่งคั่งกลับขึ้นมาได้
2. อย่าหลับหูหลับตาตามคนอื่น
การลงทุนตามคนอื่น ๆ แบบไม่ลืมหูลืมตา มักจะนำไปสู่จุดจบที่ไม่สวยนัก เหมือนอย่างที่คุณ Fujimoto ต้องพบเจอเมื่อตอนขาดทุนหนักครั้งแรก จากเหตุการณ์ฟองสบู่แตก
เพราะกว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นชื่อว่าดี จนอยู่ในกระแส ก็แปลว่า ราคาของมันก็วิ่งนำพื้นฐานไปไกลมากแล้ว
เพราะฉะนั้น เขาจึงให้ความสำคัญกับการทำการบ้านด้วยตัวเองเป็นอย่างมาก แทนที่จะฟังกูรูหรือนักวิเคราะห์คนอื่น ๆ
ด้วยการศึกษาหุ้นตัวนั้น แบบที่คุณ Fujimoto เรียกว่า ต้องรู้ทุกอย่างเหมือนหุ้นตัวนั้น เป็นคนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิทของเราเลย
3. ลงทุนแค่ในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ
การ “เข้าใจ” ในหุ้นที่ตัวเองเข้าซื้อนั้น อาศัยความพยายาม และเวลาในการศึกษามากกว่าการ “รู้” ว่าตัวเองกำลังซื้อหุ้นอะไร
เพราะคำว่าเข้าใจ สำหรับหุ้น 1 ตัวของคุณ Fujimoto ก็คือ ต้องเข้าใจทั้ง ประวัติศาสตร์, จุดแข็ง, จุดอ่อน และศักยภาพในการเติบโตในอนาคตของบริษัท
แน่นอนว่าการจะเข้าใจหุ้นสักตัวได้อย่างลึกซึ้งขนาดนี้ ก็ต้องใช้เวลามหาศาล ทำให้คุณ Fujimoto มีกลุ่มหุ้นที่เขารู้สึกมั่นใจ อยู่แค่ไม่กี่กลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้น ได้แก่ รถยนต์, เซมิคอนดักเตอร์ และบริษัทเทรดดิง
ทำให้มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่เขาพลาดโอกาสในการลงทุนหุ้นดี ๆ ไป เพราะว่าเขาไม่เข้าใจหุ้นตัวนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ผลตอบแทนที่เขาได้จากการยึดมั่นในวินัยของตัวเอง ก็ยังสร้างผลตอบแทนจำนวนมากให้เขาได้อยู่ดี
จากทั้งหมดนี้เองจะเห็นได้ว่า หลักการลงทุนของคุณ Fujimoto แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ต้องใช้ความมีวินัยอย่างสูงสุด
เหมือนกับที่คุณ Fujimoto มักจะบอกคนอื่นอยู่เสมอว่า “การเทรดหุ้นนั้น ไม่ใช่ที่ของคนใจเสาะ และสนามเด็กเล่นของมือใหม่”
เพราะคนที่มีใจสู้ และไม่เอาแต่คร่ำครวญ เมื่อตัวเองต้องเจ็บตัวจากตลาดหุ้น พร้อมกลับมาอีกครั้งด้วยทัศนคติ และวิธีที่ถูกต้อง แบบคุณ Fujimoto
ก็ยังสามารถกลับมาสร้างความมั่งคั่งใหม่ได้ ไม่ว่าจะขาดทุนมากแค่ไหนก็ตาม..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#เทรดเดอร์
References
-Japan's 87-Year-Old Stock Market Guru: From Rice Farmer to Billion-Yen Fortune