แกะสูตรลงทุน กองทุน Founders Fund ที่ทำผลตอบแทน 1,000 เด้ง จากการลงทุนใน Facebook
16 ก.ค. 2024
ปี 2005 ลงทุนใน Facebook ทั้งที่ Facebook เพิ่งเริ่มก่อตั้งในปี 2004
และเมื่อ Facebook เข้าตลาดหุ้นได้ ทำให้ได้รับผลตอบแทน หลัก 1,000 เด้ง..
ปี 2007 ลงทุนใน SpaceX และ Spotify
ปี 2010 ลงทุนใน Airbnb
ดูจากประวัติการลงทุนที่ว่ามา ก็เรียกได้ว่าคนที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้ในช่วงเวลานั้นได้ ต้องเป็นคนที่มองการณ์ไกลมากจริง ๆ
แต่คนที่ว่า ไม่ใช่บุคคลทั่วไปอย่างเรา ๆ แต่เป็นกองทุน
ชื่อ “Founders Fund”
ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนสุดล้ำ ที่เน้นลงทุนในธุรกิจเปลี่ยนแปลงโลก
หากสงสัยว่า Founders Fund เป็นใคร และที่ผ่านมาลงทุนในบริษัทไหนไปแล้วบ้าง
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Founders Fund เป็นบริษัทร่วมลงทุน หรือ Venture Capital ก่อตั้งในปี 2005 โดยคุณ Peter Thiel, คุณ Ken Howery และคุณ Luke Nosek
คุณ Thiel ก็คือหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท PayPal ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ให้บริการชำระเงินแบบออนไลน์นั่นเอง ส่วนอีก 2 คนนั้น เป็นอดีตผู้บริหารของ PayPal
Founders Fund มีคำขวัญที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังว่า
“What happened to the future ?”
แปลว่า “อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ?”
แปลว่า “อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ?”
โดยบริษัทจะเน้นลงทุนในกิจการที่มีแนวคิดแปลกใหม่ มีเทคโนโลยีล้ำสมัย มีผู้ก่อตั้งที่มีความทะเยอทะยาน และมุ่งมั่นจะสร้างผลกระทบต่อโลกใบนี้
ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักในการลงทุน มีอยู่ 2 ข้อ
- ลงทุนเพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
- สร้างผลตอบแทนสูง ๆ ให้กับนักลงทุน
ที่ผ่านมา Founders Fund มีการระดมทุนเพื่อลงทุนในบริษัทต่าง ๆ โดยออกเป็นกองทุนย่อย มาแล้ว 8 ครั้ง
- กองทุนที่ 1 ในปี 2005 ระดมทุนได้เงินประมาณ 2,600 ล้านบาท โดยเป็นกองทุนแรก ๆ ที่ลงทุนใน Facebook ที่วันนี้เป็นอาณาจักรโซเชียลมีเดียสุดยิ่งใหญ่ และ Palantir ผู้ให้บริการวิเคราะห์ Big Data
- กองทุนที่ 2 ในปี 2007 ระดมทุนได้ประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ กองทุนได้ลงทุนในบริษัท SpaceX ธุรกิจอวกาศของคุณ Elon Musk และ Spotify แอปฟังเพลงยอดฮิต
- กองทุนที่ 3 ในปี 2010 ระดมทุนได้ประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ ตัวอย่างบริษัทที่กองทุนเข้าไปลงทุน คือ Airbnb แพลตฟอร์มจองห้องพัก และ Stripe ผู้ให้บริการระบบชำระเงิน
- กองทุนที่ 4 ในปี 2011 ระดมทุนได้ประมาณ 29,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ ตัวอย่างบริษัทที่เข้าไปลงทุน คือ Lyft ผู้ให้บริการแอปเรียกรถ และ Oculus VR ผู้ผลิตแว่น VR
- กองทุนที่ 5 ในปี 2014 ระดมทุนได้ประมาณ 47,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ ตัวอย่างบริษัทที่เข้าไปลงทุน คือ Flexport ผู้ให้บริการเทคโนโลยีติดตามสินค้า และ Postmates ผู้ให้บริการส่งอาหารด้วยหุ่นยนต์
- กองทุนที่ 6 ในปี 2016 ระดมทุนได้ประมาณ 55,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ ตัวอย่างบริษัทที่เข้าไปลงทุน คือ Anduril Industries สตาร์ตอัปด้านความมั่นคง และ Nubank ธนาคารดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
- กองทุนที่ 7 ในปี 2020 ระดมทุนได้ประมาณ 118,000 ล้านบาท โดยในปีนี้ ตัวอย่างบริษัทที่เข้าไปลงทุน คือ Ramp ผู้ให้บริการบัตรเครดิตสำหรับนิติบุคคล และ Applied Intuition ผู้เขียนซอฟต์แวร์ให้รถยนต์ไร้คนขับ
- และกองทุนที่ 8 ในปี 2022 ระดมทุนได้ประมาณ 190,000 ล้านบาท
จะเห็นว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา กองทุนของบริษัทได้เข้าไปลงทุนในหลากหลายบริษัทที่มี Business Model เจ๋ง ๆ และเทคโนโลยีล้ำสมัยมาก จนผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้น สามารถสร้างปรากฏการณ์แก่โลกใบนี้ได้
ตัวอย่างความสำเร็จของการลงทุน ที่ทำให้กองทุนนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง จนสามารถระดมเงินทุนเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ออกกองทุนใหม่ ก็คือการเป็นกองทุนแรก ๆ ที่ลงทุนใน Facebook
โดยมีการประมาณการกันไว้ว่า ในปี 2005 กองทุนลงทุนใน Facebook และถือมาจน Facebook เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ในปี 2012
กองทุนสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 1,000 เท่า เลยทีเดียว..
เคล็ดลับความสำเร็จของ Founders Fund ก็คือลงทุนในบริษัท ที่มีผู้ก่อตั้งบริษัท มีความรู้ความสามารถ มี Passion อย่างแรงกล้า พึ่งพาได้ และน่าไว้วางใจ
เพราะทาง Founders Fund รู้ดีว่า พวกเขาไม่มีทางรู้จักธุรกิจนั้น มากไปกว่าผู้ประกอบการที่กำลังดูแลมันอยู่ในทุก ๆ วันเป็นแน่
แม้ว่าการมีเทคโนโลยีล้ำ ๆ จะสำคัญมากก็จริง แต่คนที่ดูแลบริษัทอยู่ ก็สำคัญมากไม่แพ้กัน
เห็นได้จากในอดีตที่ผ่านมา มีตัวอย่างให้เห็นกันมาเยอะว่า บริษัทที่มีเทคโนโลยีเจ๋ง ๆ หลายครั้งก็เป็นการลงทุนที่ย่ำแย่ได้
โดยที่ผ่านมา ทุกบริษัทที่เข้าไปลงทุน ทาง Founders Fund ไม่เคยปลดผู้ก่อตั้งบริษัท ออกจากตำแหน่งบริหารเลย
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะรู้จัก Founders Fund กองทุนสุดล้ำ ที่ลงทุนในบริษัทเจ๋ง ๆ ที่มุ่งมั่นจะเปลี่ยนแปลงโลก กันดีขึ้นแล้ว
ซึ่งหลักการสำคัญข้อหนึ่ง ที่ Founders Fund เน้นย้ำมาก ก่อนจะนำเงินไปลงทุนในบริษัทไหนก็ตาม คือการเลือกผู้ก่อตั้งให้ดี ก่อนที่จะนำเงินไปลงทุนในบริษัทนั้น
เพราะเมื่อนำเงินไปลงทุนแล้ว ก็เปรียบเสมือนเรากำลังเข้าไปเป็นหุ้นส่วนกับผู้ก่อตั้งเหล่านั้น เราต้องเชื่อใจพวกเขาว่า จะทำธุรกิจอย่างตั้งใจ มีความมุ่งมั่น
พร้อมกับสร้างผลตอบแทนที่ดี ให้เงินลงทุนของเรา เติบโตได้อย่างน่าประทับใจ..
#ลงทุน
#กองทุน
#FoundersFund
References:
-Peter Thiel: “Diversity Myth” 30 Years Later
-หนังสือ Zero to One: Notes on Startups, or How to Build the Future (2014) โดย Peter Thiel และ Blake Masters