
รู้จัก Scott Bessent รมว.คลัง ของ Donald Trump อดีตผู้จัดการกองทุน เด็กปั้นกลุ่ม Soros
11 เม.ย. 2025
- ฝึกงานกับคุณ Jim Rogers นักลงทุนในตำนานฉายา “อินเดียนา โจนส์ แห่งวอลล์สตรีต”
- ถูกคุณ Stanley Druckenmiller ผู้เป็นมือขวาของตำนานนักลงทุนอย่างคุณ George Soros จ้างเข้ามาทำงานด้วย
- ตัวคุณ George Soros เอง ไว้วางใจให้บริหารเงินลงทุนให้
ถ้านี่เป็น Resume ของใครสักคน เราก็คงไม่ต้องสงสัยว่า คนคนนี้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เพราะว่าน้อยคนนัก ที่จะได้รับการยอมรับ พร้อมถูกปลุกปั้นจากตำนานนักลงทุนมากถึง 3 คน
ซึ่งเจ้าของ Resume ข้างต้นนี้ ก็คือ “คุณ Scott Bessent”
ผู้ที่นอกจากจะเป็นนักลงทุนที่เก่งมากแล้ว ในตอนนี้ เขาก็กำลังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ด้วย
หากสงสัยว่าเรื่องราวของเขา น่าสนใจอย่างไรบ้าง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
คุณ Scott Bessent เกิดในปี 1962 ที่รัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเขาเรียนจบปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเยล
หลังเรียนจบ เขาได้ผ่านการฝึกงานกับหนึ่งในยอดนักลงทุนระดับตำนาน คือคุณ Jim Rogers และได้ผ่านการทำงานกับบริษัทด้านการลงทุนมาหลายบริษัท
พอถึงปี 1991 เขาก็ได้เข้ามาทำงานที่ Soros Fund Management หรือ SFM ของคุณ George Soros ตำนานนักลงทุน ที่ใครได้ยินชื่อ ก็ต่างต้องหวั่นเกรง
แต่คนที่เลือกรับคุณ Scott เข้ามาทำงาน กลับไม่ใช่คุณ Soros แต่เป็นตำนานนักลงทุนอีกท่านหนึ่ง ที่ก็ทำงานอยู่ในบริษัทแห่งนี้เช่นกัน อย่างคุณ Stanley Druckenmiller
เรียกได้ว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ คุณ Scott ได้ผ่านการปลุกปั้นมาจากตำนานนักลงทุนของโลกทั้งนั้นเลย
และพอได้เข้ามาทำงานที่ SFM ไม่นาน เขาก็ได้สร้างผลงานแจ้งเกิดขึ้นมาทันที
เพราะเขาเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญ ในปฏิบัติการที่ได้ทำให้ชื่อเสียงของคุณ George Soros เจ้าของกองทุนแห่งนี้ ถูกสื่อทั่วโลกขนานนามว่า
“เป็นชายผู้ทำลายธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ..”
โดยในเหตุการณ์นี้ คุณ Scott ก็เป็นหนึ่งในทีมงานสำคัญ ที่วางแผนโจมตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ
ซึ่งผลลัพธ์ของการลงทุนในครั้งนั้น ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะสร้างผลตอบแทนให้กองทุน SFM ไปมากกว่า 77,000 ล้านบาท
หลังจากประสบความสำเร็จในการลงทุนครั้งนี้ไปแล้ว พอถึงปี 2000 คุณ Scott ก็ได้ลาออก และก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของตัวเอง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร เพราะกองทุนแห่งนี้ มีอายุสั้นเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น
ทำให้เขาจึงได้เลือกกลับไปทำงานที่ SFM อีกครั้ง และในช่วงระหว่างปี 2011-2015 เขาก็ได้รับตำแหน่ง Chief Investment Officer ของบริษัทด้วย
แต่พอถึงปี 2015 เขาก็ได้เลือกลาออกจาก SFM อีกครั้ง และได้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ร่วมกับคุณ Michael Germino ขึ้นมา ในชื่อ Key Square Group
โดยในช่วงแรก กองทุนแห่งนี้ได้รับเงินลงทุนเริ่มต้นมาจากคุณ George Soros ถึง 91,000 ล้านบาท
ทำให้การระดมเงินลงทุนในรอบแรก กองทุนของ Key Square Group มีเงินลงทุนตั้งต้น รวมสูงถึง 206,000 ล้านบาท
แต่แล้วในปี 2018 ทาง Key Square Group ก็ได้คืนเงินลงทุนให้กับคุณ Soros
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า คุณ Scott และคุณ Soros ได้ตกลงกันไว้ว่า ถ้าคุณ Scott หาเงินลงทุนจากนักลงทุนคนอื่นได้พอแล้ว ก็จะคืนเงินลงทุนของคุณ Soros
สำหรับหลักการลงทุนของ Key Square Group จะเน้นไปที่การลงทุนโดยมองภาพของเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลัก
โดยผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน เป็นดังต่อไปนี้
ปี 2016 : ผลตอบแทน 13.00%
ปี 2017 : ผลตอบแทน -7.00%
ปี 2018 : ผลตอบแทน -1.93%
ปี 2019 : ผลตอบแทน 0.49%
ปี 2020 : ผลตอบแทน -6.52%
ปี 2021 : ผลตอบแทน -8.46%
ปี 2022 : ผลตอบแทน 30.64%
กองทุนของคุณ Scott ทำผลตอบแทนได้ไม่ค่อยคงเส้นคงวานัก แถมบางครั้งยังทำได้น้อยกว่าดัชนี และมีผลขาดทุนอยู่หลายปี ทำให้มีนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ทยอยถอนเงินลงทุนออกไป
จนทำให้เงินในกองทุนนี้ ที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นถึง 200,000 ล้านบาท ในปี 2016 ลดลงมาเหลือเพียงแค่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ในปี 2023 เท่านั้น
แต่ถึงแม้ว่าการออกมาทำกองทุนของตัวเองจะไม่ประสบความสำเร็จมากเท่ากับตอนที่เป็นผู้บริหาร
แต่ในเส้นทางการเมือง คุณ Scott กลับถือว่าโดดเด่นมาก เพราะในช่วงที่หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว เขาเป็นทั้งผู้ช่วยระดมทุน และเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ ให้กับคุณ Donald Trump
ก่อนที่คุณ Trump จะชนะการเลือกตั้ง และได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง และได้เลือกให้คุณ Scott มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศ
การกลับมาของคุณ Trump ในรอบนี้ ต้องเรียกว่า ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลกเลย
เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณ Trump ได้ประกาศนโยบายขึ้นภาษีกับประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา
ก่อนที่ล่าสุด เมื่อวาน คุณ Trump จะออกมาบอกว่า มีมากกว่า 75 ประเทศต้องการเจรจา จึงได้เลื่อนการเก็บภาษีออกไปก่อนอีก 90 วัน โดยจะยังให้เก็บในอัตราที่ 10% ไปก่อน
ยกเว้นก็แต่ประเทศจีน ที่มีการตอบโต้กลับมา ทำให้ทางสหรัฐอเมริกาเลือกขึ้นภาษีกับจีนอีกหลายครั้ง จนตอนนี้เพิ่มเป็น 145% แล้ว
หากเราได้ติดตามข่าวคราวที่เกิดขึ้น ในสมัยของคุณ Trump รอบนี้ เราก็คงจะได้เห็นชื่อของทีมงานคนอื่น ที่มีความโดดเด่น ทำงานใกล้ชิดอยู่กับคุณ Trump หลายคน เช่น
- คุณ Elon Musk ที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการ
- คุณ JD Vance รองประธานาธิบดี
- คุณ Peter Navarro ผู้มีอิทธิพลต่อนโยบายภาษีครั้งนี้ และเป็นผู้เขียนหนังสือ Death by China ที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน
และคุณ Scott Bessent ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้รายชื่อที่กล่าวมาเลย เพราะนอกจากความรับผิดชอบในการเป็น รมว.คลัง ที่ต้องดูแลภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศแล้ว
เขายังเป็นหัวหอกหลักในทีมเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากข่าวที่ออกมาล่าสุดว่า เขากำลังเจรจาการค้ากับรองนายกฯ เวียดนาม
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราคงได้รู้จักกับที่มาที่ไปของคุณ Scott Bessent ก่อนที่จะได้มาเป็น รมว.คลัง ของคุณ Trump กันดีขึ้นแล้ว
ต่อจากนี้ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ในช่วงระหว่าง 90 วัน ที่เหลืออยู่นี้
การเจรจากับประเทศต่าง ๆ จะคืบหน้า ไปมากน้อยแค่ไหน ?
ทางการจีนและสหรัฐอเมริกา จะมีนโยบายตอบโต้อะไรกลับมากันอีก ?
และโลกของเรา สุดท้ายแล้ว ความสงบสุข จะคืนกลับมาเมื่อไร ?..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#ScottBessent
References