กลยุทธ์ SEPA เคล็ดลับสร้างผลตอบแทน หลาย 100% ของ Mark Minervini

กลยุทธ์ SEPA เคล็ดลับสร้างผลตอบแทน หลาย 100% ของ Mark Minervini

13 มิ.ย. 2024
แม้มีพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย เรียนจบเพียงแค่
ระดับมัธยมต้น และเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินไม่กี่พันดอลลาร์สหรัฐ 
แต่คุณ Mark Minervini กลับก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุน
ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคปัจจุบัน 
โดยคุณ Mark Minervini เป็นผู้ชนะรางวัล U.S. Investing Championship ถึงสองสมัย ในปี 2564 ด้วยผลตอบแทน +334% และปี 2540 ด้วยผลตอบแทน +155%
ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของเขามาจากกลยุทธ์การลงทุนที่เรียกว่า “SEPA” (Specific Entry Point Analysis) นั่นเอง
หากอยากรู้ว่ากลยุทธ์ SEPA คืออะไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ 
กลยุทธ์ SEPA เป็นสูตรสำเร็จของคุณ Mark Minervini ซึ่งเป็นการผสมผสานของทั้งปัจจัยพื้นฐานและพฤติกรรมทางเทคนิคของหุ้นเข้าด้วยกัน
จุดเริ่มต้นของ SEPA เกิดจากความต้องการของคุณ Mark Minervini ที่จะค้นหาลักษณะที่หุ้นผู้นำตลาดมีร่วมกัน เพื่อจะระบุปัจจัย ที่ทำให้หุ้นเหล่านั้น มีราคาปรับขึ้นมากกว่าหุ้นตัวอื่น ๆ 
ซึ่งองค์ประกอบสำคัญ 5 อย่างของกลยุทธ์ SEPA คือ
1. แนวโน้ม 
คุณ Mark Minervini ได้แบ่งหุ้นออกเป็น 4 สเตจ นั่นคือ
สเตจ 1 ช่วงที่หุ้นถูกละเลย และกำลังทำฐานใหม่
สเตจ 2 ช่วงขาขึ้น หุ้นถูกซื้อสะสม และราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น 
สเตจ 3 ช่วงทำจุดสูงสุด หุ้นเริ่มถูกทยอยขายจากด้านบน 
สเตจ 4 ช่วงขาลง เป็นช่วงที่ราคาหุ้นลดต่ำลง
โดยหุ้นที่คุณ Mark Minervini สนใจ จะต้องเป็นหุ้นที่มีราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หรืออยู่ในสเตจ 2 เท่านั้น
2. ปัจจัยพื้นฐาน
แนวโน้มขาขึ้นของหุ้นนั้น ควรจะถูกขับเคลื่อนด้วยกำไร รายได้ และอัตรากำไรของบริษัท ที่เพิ่มมากขึ้น 
ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่หุ้นให้ผลตอบแทนดี ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งตัวเลขทางปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้ มักจะมองเห็นได้ก่อน ที่ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปเป็นขาขึ้น
3. ตัวเร่ง 
หุ้นทุกตัวที่ราคาเพิ่มขึ้นมาก ๆ มักจะมีปัจจัยที่เป็นตัวเร่ง
หนุนหลังเสมอ 
โดยตัวเร่งเหล่านั้น ก็มีมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าตัวใหม่ที่ได้รับความนิยม จนทำให้ยอดขายเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ, การได้สัญญาใหม่ หรือการขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้น ๆ เป็นต้น
4. จุดเข้าซื้อ 
จุดเข้าซื้อหุ้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยหลังจากที่ประเมินว่าหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นแล้ว คุณ Mark Minervini ก็จะรอให้ราคาหุ้นเกิดรูปแบบ VCP
ซึ่ง VCP ย่อมาจาก Volatility Contraction Pattern
คือ รูปแบบราคาที่มีความผันผวนแคบลง
อธิบายง่าย ๆ เป็นรูปแบบที่ราคาหุ้น มีจุดต่ำสุด
ยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ 
โดยช่วงการยกจุดต่ำสุดขึ้น จะมีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามกับช่วงย่อพักตัว มูลค่าการซื้อขายก็จะน้อยลง เป็นแบบนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ ประมาณ 2-6 ครั้ง
และที่คุณ Mark Minervini จะเข้าซื้อคือ จุดที่ราคาหุ้นพุ่งทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ขึ้นไป
5. จุดขายหุ้น
ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกตัวที่ตรงตามลักษณะนี้แล้วจะกลายเป็น
หุ้นผู้นำตลาดได้หมด ดังนั้นจึงต้องกำหนดจุดตัดขาดทุน เพื่อรักษาเงินต้นไว้เสมอ 
ส่วนในกรณีที่ได้กำไร จุดขายหุ้นเพื่อทำกำไรคือ 
ช่วงที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงมาก ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ช่วงนี้เป็นจุดที่ควรทยอยขายออกมา
จากทั้งหมดนี้ ก็พอจะเห็นภาพบ้างแล้วว่า กลยุทธ์ SEPA ของคุณ Mark Minervini มีองค์ประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดขององค์ประกอบที่เขียนไปข้างต้น เป็นเพียงใจความสำคัญเท่านั้น หากต้องการทำ
ความเข้าใจกลยุทธ์นี้อย่างลึกซึ้ง อาจต้องศึกษาเพิ่มเติม
ถึงแนวคิดและเทคนิคต่าง ๆ ที่คุณ Mark Minervini นำมาใช้ในแต่ละองค์ประกอบด้วย
References
- หนังสือ เทรดอย่างพ่อมดตลาดหุ้น (2563) โดย Mark Minervini
- หนังสือ คิดและเทรดอย่างแชมป์เปี้ยน (2563) โดย Mark Minervini
© 2024 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.