ปัจจัยพื้นฐานอะไรบ้าง ที่แชมป์เทรดเดอร์ อย่าง Mark Minervini ให้ความสนใจ
2 ม.ค. 2025
หากพูดถึงเทรดเดอร์ หรือนักเก็งกำไรในตลาดหุ้น
หลายคนมักเข้าใจว่า พวกเขาตัดสินใจซื้อขายหุ้นจากการดูกราฟเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเลย
แต่รู้หรือไม่ว่า แม้คุณ Mark Minervini เทรดเดอร์ฉายาพ่อมดตลาดหุ้น ผู้คว้าแชมป์ U.S. Investing Championship ด้วยผลตอบแทนถึง +155% ในปี 1997 และ +334% ในปี 2021
จะขึ้นชื่อว่าเป็นเทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่เขากลับให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานไม่น้อยไปกว่ากันเลย
แล้วปัจจัยพื้นฐานอะไรบ้าง ที่คุณ Mark Minervini
ใช้พิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้นแต่ละตัว ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุนให้เข้าใจง่าย ๆ
ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นแต่ละครั้ง หุ้นที่คุณ Mark Minervini จะเลือกซื้อต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 5 อย่าง
ตามกลยุทธ์ SEPA ได้แก่
1. แนวโน้ม ให้ความสนใจเฉพาะหุ้นที่มีราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น
2. ปัจจัยพื้นฐาน หุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นนั้น ต้องถูกขับเคลื่อนด้วยการเติบโตของกำไร และรายได้ที่เพิ่มขึ้น
3. ตัวเร่ง หุ้นที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น มักมีปัจจัยหนุนเชิงบวกที่เป็นตัวเร่งสำคัญ
4. จุดเข้าซื้อ เมื่อหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นแล้ว จะรอให้หุ้นมีความผันผวนที่ค่อย ๆ ลดลงก่อนเข้าซื้อ
5. จุดขายหุ้น มีการกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนเพื่อรักษาเงินต้น และในกรณีที่ได้กำไร จะทยอยขายเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในระยะเวลาสั้น ๆ
จากองค์ประกอบทั้ง 5 อย่างข้างต้น จะเห็นว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่คุณ Mark Minervini ใช้ในการตัดสินใจลงทุน
เพราะเขาเชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นก็คือ
ผลประกอบการ หรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทนั่นเอง
โดยปัจจัยพื้นฐานที่เขาให้ความสำคัญ คือ
1. กำไรที่เหนือความคาดหมาย
การที่บริษัทรายงานผลกำไรสูงกว่าตลาดคาดการณ์เป็นสัญญาณเชิงบวกที่มักส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยกำไรที่เหนือความคาดหมายนั้น จะมีอยู่ 2 ลักษณะสำคัญที่ควรจับตามอง
- กำไรที่สูงกว่าการประมาณการ โดยถ้ายิ่งสูงกว่าที่ผู้คนคาดการณ์มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นสัญญาณบวกมากเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรต่อหุ้นไตรมาสนี้ จะอยู่ที่ 1.00 บาท แต่บริษัทรายงานกำไรจริง 1.50 บาท
- กำไรที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่เคยทรงตัวมาหลายไตรมาส
ยกตัวอย่างเช่น บริษัทมีกำไรต่อหุ้นทรงตัวที่ไตรมาสละ 1.00 บาท มา 4 ไตรมาสติดต่อกัน แต่แล้วไตรมาสล่าสุด กำไรพุ่งขึ้นเป็น 2.00 บาท
นอกจากนี้ หากบริษัทหนึ่งในอุตสาหกรรมรายงานผลกำไรที่ดีกว่าที่คาดการณ์ บริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันก็มักมีแนวโน้มที่จะประกาศผลประกอบการเชิงบวกตามมาเช่นกัน
โดยคุณ Mark Minervini จะให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีผลประกอบการสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และจะหลีกเลี่ยงบริษัทที่รายงานผลประกอบการต่ำกว่าที่คาดการณ์
2. การปรับประมาณการกำไร
หลังจากบริษัทรายงานผลกำไรออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ นักวิเคราะห์ที่ติดตามหุ้นอยู่ก็มีแนวโน้มที่จะต้องทบทวนการประมาณการกำไรใหม่
ซึ่งหากนักวิเคราะห์มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร หรือคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจะเติบโตได้ดีขึ้น ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี
และยิ่งมีนักวิเคราะห์จากหลายสำนักปรับเพิ่มการประมาณการพร้อมกัน ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และสะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคต
โดยการปรับประมาณการที่ดีควรเป็นการปรับเพิ่มทั้งไตรมาสปัจจุบันและทั้งปี และควรจะมีการปรับการประมาณการขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้แต่เดิมประมาณ 5%
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็เช่น
หุ้น A เป็นหุ้นของร้านสุกี้แห่งหนึ่ง ที่ก่อนประกาศผลประกอบการ นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ว่า
- กำไรต่อหุ้นไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 0.50 บาท และกำไรต่อหุ้นทั้งปีจะอยู่ที่ 2.00 บาท
แต่หลังจากบริษัทมีผลประกอบการที่ดี นักวิเคราะห์ได้ปรับการประมาณการเป็น
- กำไรต่อหุ้นไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 0.70 บาท และกำไรต่อหุ้นทั้งปีจะอยู่ที่ 3.00 บาท
ซึ่งคิดเป็นการปรับเพิ่มการประมาณการของกำไรต่อหุ้นรายไตรมาส และรายปีอยู่ที่ +40% และ +50% ตามลำดับ
และมีแนวโน้มที่จะปรับการประมาณการเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากบริษัทเพิ่งเปิดสาขาใหม่ และได้รับการตอบรับที่ดี รวมทั้งคาดว่าจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งในปีนี้ด้วย
โดยบริษัทที่นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นทั้งรายไตรมาสและรายปีแบบนี้เอง ที่คุณ Mark Minervini จะให้ความสำคัญ
3. การเร่งตัวของกำไร
หลังจากที่บริษัทรายงานผลกำไรเหนือความคาดหมาย และมีการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น ถ้าหากกำไรต่อหุ้นของบริษัทมีการเร่งตัวขึ้นในทุก ๆ ไตรมาส
แนวโน้มการเติบโตของกำไรต่อหุ้นนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ราคาหุ้นสูงขึ้นต่อไปได้เรื่อย ๆ
การเติบโตของกำไรที่ดีควรเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2-3 ไตรมาส โดยเฉพาะไตรมาสล่าสุดต้องเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และต้องมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อในอนาคตด้วย
เพราะกำไรในไตรมาสล่าสุดจะมีความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมากที่สุดนั่นเอง
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
- ไตรมาส 1 กำไรต่อหุ้น 1.00 บาท
- ไตรมาส 2 กำไรต่อหุ้น 1.20 บาท
- ไตรมาส 3 กำไรต่อหุ้น 1.50 บาท
- ไตรมาส 4 กำไรต่อหุ้น 2.00 บาท
จะเห็นว่าอัตราการเติบโตของกำไรเร่งตัวขึ้นเรื่อย ๆ จาก 20% เป็น 25% และ 33% ตามลำดับ
และนอกจากกำไรต่อหุ้นที่เร่งตัวขึ้นแล้ว คุณ Mark Minervini จะให้ความสำคัญกับกำไรที่มีคุณภาพด้วย
โดยกำไรที่มีคุณภาพ คือ การเติบโตของกำไรที่มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานที่แท้จริง ซึ่งจะดีมาก ๆ ถ้ากำไรที่ว่า มาจากการขายสินค้าได้มากขึ้น หรือขายสินค้าได้ในราคาแพงขึ้น
ไม่ใช่กำไรที่เติบโตจากการลดต้นทุน หรือเป็นกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว จากการขายสินทรัพย์ หรือบริษัทย่อย
อ่านถึงตรงนี้จะเห็นว่า คุณ Mark Minervini ให้ความสำคัญเรื่องปัจจัยพื้นฐาน โดยเน้นที่กำไรเป็นหลักมากเป็นพิเศษเลย
และการเติบโตของกำไรนั้น คุณ Mark Minervini ก็ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพมากกว่าด้วย
อย่างไรก็ตามปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์ประกอบในการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น
เพราะการตัดสินใจลงทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว ต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้การตัดสินใจมีความรอบคอบและมั่นใจมากยิ่งขึ้น..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#MarkMinervini
References
- หนังสือ เทรดอย่างพ่อมดตลาดหุ้น (2020) โดย Mark Minervini
- หนังสือ คิดและเทรดอย่างแชมป์เปี้ยน (2020) โดย Mark Minervini