
หุ้นโรงไฟฟ้าเหมือนกัน ทำไม GULF ราคา All Time High แต่ BGRIM ราคา All Time Low | MONEY LAB
11 ก.พ. 2025
หุ้นโรงไฟฟ้า มักถูกมองว่าเป็นหุ้นหลุมหลบภัยในช่วงตลาดผันผวน เพราะธุรกิจประเภทนี้ มักจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจผันผวนค่อนข้างน้อย
แต่รู้หรือไม่ว่า ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นบางตัวในกลุ่มโรงไฟฟ้า กลับมีทิศทางราคาที่แตกต่างกัน อย่างสุดขั้ว..
GULF ราคาหุ้นขึ้นทำ All Time High หรือ จุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น ที่ราคา 70.50 บาท ก่อนจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ 57.25 บาท เท่ากับว่า ใครที่ถือหุ้นบริษัทนี้อยู่ก่อนแล้ว ก็น่าจะได้กำไรกันไม่น้อยเลย
แต่ในทางกลับกัน บริษัท BGRIM ราคาหุ้นกลับร่วงลงทำ All Time Low หรือ จุดต่ำสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น ที่ราคา 12.70 บาท พูดง่าย ๆ ก็คือ คนที่ถืออยู่ขาดทุนทุกคน
เรียกได้ว่า แม้ทั้ง 2 บริษัทนี้จะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่สถานการณ์กลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
หากสงสัยว่า แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นสวนทางกันมากขนาดนี้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
GULF และ BGRIM เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมและเป็นขวัญใจของนักลงทุน มาอย่างยาวนาน
โดยบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มีรายได้หลักมาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า 91%
ส่วนบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM
มีรายได้ทั้งหมดมาจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า
แต่แม้ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตไฟฟ้าเหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เหมือนกัน
เพราะจริง ๆ แล้ว โรงไฟฟ้าสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทเลย
1. โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือ IPP เป็นโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 90 เมกะวัตต์
ซึ่งจะเป็นโรงไฟฟ้าที่มีรายได้มั่นคงที่สุด เพราะมีสัญญาซื้อขายไฟระยะยาว 25 ปีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
จุดเด่นของโรงไฟฟ้าประเภทนี้คือ รายได้จะไม่มีความสัมพันธ์กับปริมาณไฟที่ขายได้
นั่นคือ แม้โรงไฟฟ้าจะไม่ได้จ่ายไฟเลย แต่แค่มีความพร้อมจ่าย ตามเงื่อนไขสัญญาก็ทำให้มีรายได้แล้ว
นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าประเภทนี้ ยังมีความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนพลังงานที่มีความผันผวน ไปให้กับ กฟผ. ได้อีกด้วย
2. โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ SPP เป็นโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิต 10-90 เมกะวัตต์ โดยจะมีรายได้มาจาก 2 ทาง
- รายได้จากสัญญาขายไฟระยะยาวกับ กฟผ. ซึ่งส่วนนี้มีความมั่นคงคล้ายกับแบบ IPP
- รายได้จากการขายไฟให้ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งรายได้ส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณไฟที่ขายได้ หากเศรษฐกิจดี โรงงานใช้ไฟเยอะ รายได้ก็เพิ่มขึ้นตาม
ส่วนราคาขายไฟ มักจะอิงกับค่า Ft หรือ ค่าไฟฟ้าผันแปร โดยต้นทุนก็จะมีความผันผวนตามราคาพลังงาน
3. โรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก หรือ VSPP เป็นโรงไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตน้อยกว่า 10 เมกะวัตต์
ส่วนมากจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับ กฟน. และ กฟภ. โดยจะได้รับเงินอุดหนุนภายใต้ระบบ Adder และ Feed-in Tariff
พอเราเข้าใจประเภทของโรงไฟฟ้ากันแล้ว ทีนี้เรามาดูกันว่า GULF และ BGRIM มีโรงไฟฟ้าประเภทไหนบ้าง ?
ประเภทโรงไฟฟ้าของ GULF แบ่งเป็น
- โรงไฟฟ้า IPP ขายไฟให้ กฟผ. 47%
- โรงไฟฟ้า SPP ขายไฟให้ กฟผ. 27%
- โรงไฟฟ้า SPP ขายไฟให้โรงงานอุตสาหกรรม 10%
- โรงไฟฟ้า VSPP และอื่น ๆ 16%
จะเห็นว่า 74% ของรายได้บริษัท GULF มาจากการขายไฟให้ภาครัฐ ซึ่งเป็นรายได้ที่มั่นคง ส่วนรายได้ที่มีความผันผวนจากภาคอุตสาหกรรม มีเพียงแค่ 10% เท่านั้น
ส่วนประเภทโรงไฟฟ้าของ BGRIM แบ่งเป็น
- โรงไฟฟ้า SPP ขายไฟให้ กฟผ. 63%
- โรงไฟฟ้า SPP ขายไฟให้โรงงานอุตสาหกรรม 28%
- โรงไฟฟ้า VSPP และอื่น ๆ 9%
จะเห็นว่า แม้ BGRIM จะมีรายได้จากการขายไฟให้กับ กฟผ. เป็นสัดส่วนที่สูงถึง 63% แต่ก็มีรายได้ในส่วนที่มีความผันผวนตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม อยู่ถึง 28%
ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ส่วนนี้ มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่กำลังชะลอตัว โดยโรงงานอาจจะลดกำลังการผลิต หรือชะลอการดำเนินงาน ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าได้
นอกจากนี้เอง ล่าสุดก็ยังมีประเด็นเรื่องการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่า Ft จากระดับปัจจุบันที่ 4.15 บาทต่อหน่วย มาอยู่ที่ 3.70 บาทต่อหน่วย
ถึงแม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่หากภาครัฐปรับลดค่า Ft จริง ก็จะกระทบโดยตรงต่อรายได้ของโรงไฟฟ้า SPP ที่ขายไฟให้ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม เพราะราคาขายไฟฟ้ามักจะอิงกับค่า Ft
นั่นหมายความว่า เมื่อราคาค่าไฟถูกลง รายได้จากการขายไฟให้กับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม ก็จะลดลงตามไปด้วย
แต่ในขณะที่ต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของบริษัท ก็จะยังคงผันผวนตามราคาพลังงาน ซึ่งเป็นไปตามกลไกของตลาด แบบนี้ต่อไป ไม่มีใครสามารถควบคุมได้
พอเป็นแบบนี้ ก็เหมือนกับเป็นสัญญาณที่บอกเป็นนัย ๆ ว่า รายได้และกำไรในอนาคตของ BGRIM ก็มีแววจะลดลง
จากทั้งหมดนี้ก็พอจะเห็นภาพแล้วว่า ทำไมตลาดถึงให้มูลค่า GULF และ BGRIM แตกต่างกัน
GULF มีจุดแข็งจากโครงสร้างรายได้ที่มั่นคง โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากการขายไฟให้ภาครัฐ และมีรายได้จากภาคอุตสาหกรรมในสัดส่วนที่น้อย
อีกทั้งยังมีการกระจายรายได้ไปยังธุรกิจอื่น ๆ ทำให้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และการปรับลดค่าไฟน้อยกว่า
ในขณะที่ BGRIM มีรายได้จากลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า และเกือบครึ่งหนึ่งของส่วนนี้ มาจากกลุ่มยานยนต์ที่กำลังชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟลดลง
นอกจากนี้ ก็ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการปรับลดค่าไฟในอนาคตด้วย ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อราคาขายไฟให้ภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุน เราควรจะต้องมองให้ลึกกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม
เพราะโครงสร้างรายได้ และระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน คือปัจจัยหลัก ที่จะช่วยสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ออกมาให้เราเห็นได้ นั่นเอง..
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำ ให้ซื้อหรือขายหุ้นเหล่านี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
#ลงทุน
#หุ้นไทย
#GULF
#BGRIM
References
-ราคาปิด ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568
-YouTube KSecurities: GULF ตัวเลือกที่ปลอดภัย เมื่อราคาค่าไฟกดดัน “กลุ่มโรงไฟฟ้า”