Warren Buffett วางแผนส่งต่อมรดกอย่างไร ให้เสียภาษี 0 บาท

Warren Buffett วางแผนส่งต่อมรดกอย่างไร ให้เสียภาษี 0 บาท

21 พ.ย. 2024
ประมาณ 4,871,000 ล้านบาท คือความมั่งคั่งสุทธิของคุณ Warren Buffett นักลงทุนเบอร์ 1 ของโลก
ซึ่งถ้าหากวันใดคุณ Warren Buffett เสียชีวิตลง สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คุณ Warren Buffett ต้องเสียภาษีมรดกตามกฎหมายสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึง 40% 
หรือคิดเป็นเงินจำนวนมหาศาล มากถึงประมาณ 2,000,000 ล้านบาท
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีนักลงทุนระดับโลกแล้ว คุณ Warren Buffett ย่อมมีเทคนิคในการรักษาความมั่งคั่งไว้แบบไม่ธรรมดา
ด้วยวิธีการอันแยบยลของคุณ Warren Buffett ทำให้แม้ถึงวันที่เขาจากโลกนี้ไป ลูกหลานของเขาก็ไม่ต้องจ่ายภาษีมรดกเลยแม้แต่บาทเดียว
แล้วคุณ Warren Buffett ใช้วิธีไหน ในการส่งต่อมรดกให้ลูกหลาน โดยไม่ต้องเสียภาษีเลย ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ก่อนอื่นต้องขออธิบายหลักกฎหมายภาษีมรดกของสหรัฐฯ ก่อน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจปัญหาภาษีที่คุณ Warren Buffett ต้องเผชิญหลังความตาย
คนอเมริกันทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นกฎหมายของรัฐบาลกลาง เรียกว่า Federal Law ซึ่งจะบังคับใช้กับคนทุกคนในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะอยู่ในรัฐไหนก็ตาม
ส่วนที่ 2 คือ กฎหมายระดับรัฐ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นแต่ละรัฐก็จะมีกฎหมายในแต่ละเรื่องแตกต่างกันออกไป และจะมีผลบังคับใช้เฉพาะผู้ที่อยู่ในรัฐนั้น ๆ
อย่างในกรณีกฎหมายภาษีมรดก คุณ Warren Buffett ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐเนแบรสกา และกฎหมายของรัฐบาลกลาง
โดยกฎหมายภาษีมรดกของรัฐบาลกลาง เรียกว่า Federal Estate Tax จะเริ่มเก็บภาษีในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินที่เกิน 13.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 450 ล้านบาท แบบขั้นบันได มีอัตราภาษีสูงสุด 40%
และกฎหมายภาษีการรับมรดกของรัฐเนแบรสกา เรียกว่า Inheritance Tax ซึ่งลูกหลานของคุณ Warren Buffett จะต้องเสียภาษีในอัตรา 1% ของมูลค่ามรดกส่วนที่เกิน 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.3 ล้านบาท 
ส่วนมรดกที่ส่งต่อให้คู่สมรส จะได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าคุณ Warren Buffett ก็แค่ยกมรดกให้ภรรยาของตัวเอง เพื่อไม่ต้องเสียภาษีหรือเปล่า
แต่คุณ Warren Buffett รู้ดีว่า ต่อให้เขายกมรดกทั้งหมดให้ภรรยา แต่เมื่อถึงวันที่ภรรยาเสียชีวิต ลูกหลานที่ได้รับมรดกไป ก็ต้องเสียภาษีในวันข้างหน้าอยู่ดี
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว คุณ Warren Buffett จึงต้องเข้ามาจัดการวางแผนส่งต่อมรดกด้วยตัวเองตั้งแต่วันนี้
ด้วยการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศล ที่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร แล้วให้ลูก ๆ ของเขาเป็นผู้บริหารมูลนิธิเหล่านี้
และในแต่ละปีคุณ Warren Buffett ก็จะทยอยบริจาคหุ้น Berkshire Hathaway ให้กับองค์กรเพื่อการกุศล
ข้อดีของมูลนิธิเพื่อการกุศล คือ รัฐบาลมองว่ามูลนิธิเหล่านี้ เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร จึงไม่เก็บภาษีจากทรัพย์สินที่องค์กรเหล่านี้ได้รับบริจาคมา
โดยตอนนี้ครอบครัว Buffett เป็นเจ้าของมูลนิธิเพื่อการกุศลถึง 4 แห่งด้วยกัน คือ
1. The Susan Thompson Buffett Foundation เน้นบริจาคเงินด้านสาธารณสุข
2. The Sherwood Foundation เน้นบริจาคด้านการศึกษา และที่อยู่อาศัย ในเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา
3. The Howard G. Buffett Foundation เน้นบริจาคด้านการทำเกษตรกรรม และการบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
4. NoVo Foundation เน้นให้ความช่วยเหลือเด็กผู้หญิง และชนพื้นเมืองอเมริกัน
ซึ่งทางคุณ Warren Buffett ก็ได้สั่งเสียกับลูก ๆ ทั้ง 3 คนของเขาแล้วว่า ให้บริจาคเงินทั้งหมดภายใน 10 ปี หลังจากที่เขาเสียชีวิต
แม้คุณ Warren Buffett จะตั้งใจบริจาคเงินทั้งหมดเพื่อการกุศล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูก ๆ ของเขาจะไม่ได้มรดกอะไรเลย
เพราะการนั่งเป็นผู้บริหารในมูลนิธิเหล่านี้ ลูก ๆ ของเขาจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สามารถเบิกใช้ในนามของมูลนิธิเหล่านี้ก็ได้ เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร และค่าที่พัก เป็นต้น
หรือแม้แต่การซื้ออสังหาริมทรัพย์ ก็สามารถทำในนามขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรก็ได้เช่นกัน แต่ต้องมีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการกุศล เช่น ซื้อตึกไว้ตั้งสำนักงาน
การจัดตั้งมูลนิธิแบบนี้ เป็นที่นิยมมากในหมู่มหาเศรษฐีของสหรัฐฯ เช่น The Gates Foundation ของคุณ Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft 
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะเห็นภาพกันมากขึ้นแล้วว่า การจัดตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศลของเหล่ามหาเศรษฐี นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อการบริจาคเงินแล้ว ยังช่วยลดภาษีในการส่งต่อมรดกอีกด้วย
เพราะถึงแม้จะต้องบริจาคเงินบางส่วนให้สาธารณะ แต่ก็ดีกว่าการเสียภาษีทั้งก้อนในครั้งเดียว และทำให้ความมั่งคั่งของตระกูลลดลงมหาศาลนั่นเอง..
#วางแผนการเงิน
#วางแผนมรดก
#WarrenBuffett
References
© 2024 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.