สรุปวิกฤติ HOT POT (อดีต) ร้านบุฟเฟต์ชื่อดัง จาก 100 สู่ 0 สาขา

สรุปวิกฤติ HOT POT (อดีต) ร้านบุฟเฟต์ชื่อดัง จาก 100 สู่ 0 สาขา

3 ก.ย. 2024
ข่าวดังที่เกิดขึ้นกับวงการร้านอาหารในปีนี้ ก็คงจะเป็น การที่ร้านอาหารชื่อดังอย่าง HOT POT ประกาศปิดตัวลง
ร้านนี้เคยเป็นร้านที่ดังมาก และเคยสร้างความสุขให้กับผู้มาใช้บริการ เป็นจำนวนไม่น้อย ผ่านสาขา HOT POT กว่า 100 สาขา มานานเกือบ 20 ปี 
แต่วันนี้ได้จากไปตลอดกาล..
หากสงสัยว่า ร้านอย่าง HOT POT มีต้นกำเนิดอย่างไร และเพราะอะไรถึงไม่ได้ไปต่อ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
HOT POT เป็นร้านอาหารสุกี้ชาบูแบบบุฟเฟต์แบรนด์แรก ของบริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JCKH
โดยแต่ก่อนที่จะเป็นร้านบุฟเฟต์ เดิมร้านนี้เคยเป็นร้านสุกี้ชาบูตามสั่ง ที่มีสาขาแรก อยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา
ชื่อ “โคคาเฟรช สุกี้”
ร้านนี้ได้รับความนิยมสูงมากในจังหวัดฉะเชิงเทรา และได้มีการขยายสาขาออกไปในพื้นที่หลากหลายจังหวัด
พอมาถึงปี 2544 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น “ฮอท พอท สุกี้ ชาบู เรสโตรองต์” และในปี 2548 ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นรูปแบบบุฟเฟต์
ในช่วงเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัทก็ได้มีทั้งการขยายสาขา HOT POT และแตกแบรนด์ใหม่ ๆ เพิ่มมาตลอด
ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2566 บริษัทมีธุรกิจอาหารแบ่งเป็น 5 ประเภท ภายใต้ร้านอาหาร 6 แบรนด์ และมีสาขาร้านอาหารทั้งหมด 16 สาขา
ประเภทที่ 1 ร้านบุฟเฟต์มี 3 แบรนด์
- แบรนด์ HOT POT Buffet มี 4 สาขา
- แบรนด์ HOT POT Gold มี 1 สาขา
- แบรนด์ SHABU TOMO มี 5 สาขา
ประเภทที่ 2 ร้านปิ้งย่าง แบรนด์ DAIDOMON Korean Grill มี 2 สาขา
ประเภทที่ 3 ร้านอาหารจีนสไตล์ฮ่องกง แบรนด์ Zheng Dou Grand มี 1 สาขา
ประเภทที่ 4 คือสิทธิในการประกอบธุรกิจร้านอาหาร แบรนด์ Burger & Lobster
ประเภทที่ 5 ร้านชาบูหม่าล่า แบรนด์ Ai Huo Guo มี 2 สาขา
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้บริษัทก็มีการเปิดและปิดกิจการไปหลายแบรนด์ด้วยกัน อย่างเช่น ปิดแบรนด์โจกะโต ในปี 2564 และแบรนด์บอนไซ ในปี 2565
และเปิดแบรนด์ใหม่อย่าง SHABU TOMO ในปี 2565 และ Ai Huo Guo ในปี 2566
หากเรามาดูผลประกอบการของบริษัท พบว่ารายได้ลดลง และขาดทุนทุกปี
- ปี 2560 รายได้ 1,833 ล้านบาท ขาดทุน 222 ล้านบาท
- ปี 2562 รายได้ 1,349 ล้านบาท ขาดทุน 158 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 428 ล้านบาท ขาดทุน 340 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 258 ล้านบาท ขาดทุน 109 ล้านบาท
โดยแบรนด์ที่สร้างรายได้ให้บริษัทมากที่สุด ก็ยังคงเป็นแบรนด์ HOT POT แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม จำนวนสาขาของ HOT POT กลับลดน้อยลงทุกปี
- ปี 2564 มี 59 สาขา
- ปี 2565 เหลือ 33 สาขา
- ปี 2566 เหลือ 5 สาขา
และจากข่าวล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 สุดท้ายทางบริษัท JCKH ก็ได้ตัดสินใจเลิกกิจการ HOT POT รวมถึง DAIDOMON ลงอย่างถาวร
เท่ากับว่า ต่อไปนี้ เราจะไม่ได้เห็นร้านสุกี้ชาบูและร้านปิ้งย่างในตำนาน ทั้ง 2 แบรนด์นี้อีกแล้ว
หากเราไปลองวิเคราะห์สาเหตุดูก็จะพบว่า อุตสาหกรรมร้านอาหารมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดมาก มีแบรนด์ใหม่ ๆ พร้อมจะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางธุรกิจจากเจ้าเดิมอยู่ตลอดเวลา
บางแบรนด์ประสบความสำเร็จ ล้มเจ้าเก่า ๆ ลงได้ และกลายเป็นผู้ชนะคนใหม่
สำหรับ HOT POT และ DAIDOMON เองก็เคยเป็นผู้ชนะในอดีต และรักษาตำแหน่งของผู้ชนะได้ มานานถึงเกือบ 20 ปี
แต่มาวันนี้ เมื่อ HOT POT หมดความสามารถในการแข่งขัน และไม่สามารถดึงดูดใจ ให้ลูกค้าอยากเข้ามาใช้บริการได้อีกแบบแต่ก่อน
วันนี้จึงต้องกลายเป็นผู้แพ้ และมีอันต้องปิดตัวลง ก่อนจะหายไปจากวงการร้านอาหารในที่สุด
เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะแบรนด์ที่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ เป็นเจ้าตลาดได้ในวันนี้แล้ว
หากไม่คิดจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ และตามเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงให้ทัน
ก็จะกลายเป็นแค่เพียงผู้ชนะในอดีต ให้คนอื่น ๆ มาถอดบทเรียนความผิดพลาดย้อนหลัง อย่างเช่น HOT POT ในวันนี้..
#ธุรกิจ
#หุ้นไทย
#HOTPOT
References:
-รายงานประจำปี บริษัท เจซีเค ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด (มหาชน) ปี 2566
© 2024 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.