รู้จัก PEG จากปีเตอร์ ลินช์ เครื่องมือ หลบกับดักหุ้นราคาถูก | MONEY LAB
P/E คือ อัตราส่วนที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ประเมินว่า หุ้นมีราคาถูกหรือแพง เพราะเป็นอัตราส่วนที่คำนวณง่าย และเข้าใจได้ง่าย
รู้จัก PEG จากปีเตอร์ ลินช์ เครื่องมือ หลบกับดักหุ้นราคาถูก
10 ม.ค. 2024
แต่อัตราส่วน P/E นั้น มักจะถูกคำนวณจากข้อมูลปัจจุบัน และไม่ได้คิดถึงการเติบโตในอนาคต
ส่งผลให้เงินลงทุนของเรา อาจจะจมอยู่ในหุ้นที่ดูเหมือนว่าราคาถูกในวันนี้ แต่ที่จริงแล้วอาจจะเป็นหุ้นที่ไม่เติบโต และราคาก็ไม่ไปไหน ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า “กับดักหุ้นราคาถูก”
เพราะฉะนั้น การจะหลุดพ้นจากกับดักหุ้นราคาถูกได้ ก็จะต้องมีเครื่องมือช่วย นั่นก็คือ การใช้ “อัตราส่วน PEG” นั่นเอง
แล้วอัตราส่วน PEG จะช่วยพาให้เราหลุดจากกับดักหุ้นราคาถูก ได้อย่างไร ?
MONEY LAB จะเล่าเรื่องการเงิน ที่โรงเรียนไม่เคยสอน ให้เข้าใจ
MONEY LAB จะเล่าเรื่องการเงิน ที่โรงเรียนไม่เคยสอน ให้เข้าใจ
อัตราส่วน PEG ย่อมาจาก P/E to Growth ซึ่งเป็นการเอาอัตราส่วน P/E ปกติ มาหารด้วยอัตราการเติบโตของกำไร ที่คาดการณ์ใน 1-3 ปีข้างหน้า
อัตราส่วน PEG เป็นสิ่งที่คุณ Peter Lynch นักลงทุนระดับตำนาน ชอบใช้เป็นอย่างมาก เนื่องจากสอดคล้องกับหลักการลงทุนของเขา ที่มักจะมองหาหุ้นเติบโตราคาถูก แทนที่จะมองหาแค่หุ้นราคาถูกเฉย ๆ
เริ่มต้นจากที่คุณ Peter Lynch มองว่า อัตราส่วน P/E ก็คือความคาดหวังของนักลงทุน โดยถ้าหากบริษัทมีอัตราส่วน P/E เท่าไร ก็ควรจะมีการเติบโตของกำไรมากเท่านั้น
เช่น บริษัทที่มี P/E 15 เท่า ก็ควรจะมีกำไรเติบโตปีละ 15% เช่นกัน
เช่น บริษัทที่มี P/E 15 เท่า ก็ควรจะมีกำไรเติบโตปีละ 15% เช่นกัน
ในอีกมุมมองหนึ่งก็คือ ถ้าหากบริษัทไหน มีอัตราการเติบโตของกำไรสูงกว่า อัตราส่วน P/E ก็แปลว่า บริษัทนั้นยิ่งน่าสนใจ เพราะสามารถทำผลประกอบการ ได้เหนือกว่าความคาดหมายของนักลงทุน
จากตรงนี้เอง เราก็จะได้วิธีการใช้งาน ของอัตราส่วน PEG ก็คือ
ถ้าหากอัตราส่วน PEG มีค่าน้อยกว่า 1 เท่า แปลว่า หุ้นตัวนี้ ราคาถูกถ้าหากอัตราส่วน PEG มีค่าเท่ากับ 1 เท่า แปลว่า หุ้นตัวนี้ ราคาสมเหตุสมผลถ้าหากอัตราส่วน PEG มีค่ามากกว่า 1 เท่า แปลว่า หุ้นตัวนี้ ราคาแพงเกินไป
ยกตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
บริษัท A มีอัตราส่วน P/E เท่ากับ 10 เท่า และบริษัท B มีอัตราส่วน P/E เท่ากับ 15 เท่า ซึ่งทั้ง 2 บริษัทนี้ อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน และมีขนาดใกล้เคียงกัน
ถ้าหากมองแค่ตรงนี้ เราก็จะเห็นว่า หุ้นของบริษัท A มีราคาที่ถูกกว่า และเราอาจจะเข้าไปลงทุน โดยไม่ทันระวัง
แต่จากการคาดการณ์ในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัท A นั้น จะมีกำไรเติบโต 5% ต่อปี ส่วนบริษัท B จะมีกำไรเติบโต 20% ต่อปี
ส่งผลให้เมื่อนำไปคำนวณอัตราส่วน PEG
บริษัท A จะได้ PEG = 10/5 = 2 เท่า
บริษัท B จะได้ PEG = 15/20 = 0.75 เท่า
บริษัท B จะได้ PEG = 15/20 = 0.75 เท่า
นั่นหมายความว่า ถ้าคำนวณด้วยเครื่องมือ PEG แล้ว หุ้นของบริษัท B นั้นน่าสนใจกว่า หุ้นของบริษัท A
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า ถ้าหากเราดูเพียงแค่อัตราส่วน P/E โดยไม่ได้คิดถึงการเติบโตในอนาคต ก็จะทำให้เราติดกับดักหุ้นราคาถูก ได้ง่าย ๆ
เพราะฉะนั้น การที่เรารู้จักเครื่องมือนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพื่อไม่ให้เราตกหลุมพรางต่าง ๆ ในตลาดหุ้น และประสบความสำเร็จในการลงทุน อย่างที่ตั้งใจไว้
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเติบโตในอนาคต เป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง
ฉะนั้น การที่เราจะใช้เครื่องมือ PEG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเริ่มต้นคือ เราก็จะต้องเข้าใจธุรกิจของบริษัทให้ได้เป็นอย่างดี..