
อธิบายการทำงาน Put Options ผ่านการทำประกันภัย คฤหาสน์ 100 ล้าน
11 มี.ค. 2025
ถ้าเราทำประกันภัยบ้าน ถ้าถูกไฟไหม้เสียหาย แล้วต้องเสียค่าซ่อมแซม เราก็สามารถเคลมประกันเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าเสียหายได้
แต่กับการลงทุนนั้น ถ้าเราประสบกับการขาดทุนหนัก ในหลายครั้งก็เป็นเรื่องยาก ที่จะพลิกจากการขาดทุน ให้กลับมาเท่าทุน หรือกำไรอีกครั้ง
จนบางคนอาจจะนึกขำ ๆ ในใจว่า ถ้ามีอะไรที่คล้าย ๆ กับการทำประกันให้พอร์ตการลงทุนของเรา เผื่อในกรณีที่ต้องเจอกับการขาดทุนที่ไม่คาดฝันบ้างก็คงจะดี
ซึ่งอันที่จริงแล้วในโลกการเงินนั้น ก็มีสิ่งที่คล้าย ๆ กับการทำประกันพอร์ตการลงทุนอยู่ นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า “Options” นั่นเอง
และถ้าจะพูดให้เจาะจงลงไปอีกก็คือการใช้ “Put Options” ในการบริหารความเสี่ยงที่จะขาดทุนของพอร์ตการลงทุน
เพราะ Options ในตลาดหุ้นแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ Call Options และ Put Options
โดย Call Options คือ สิทธิในการซื้อหุ้นในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เราจะใช้หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้ ถ้าไม่ใช้สิทธิก็แค่เสียเงินค่าซื้อ Options ไป
แต่ถ้าใช้สิทธิ แล้วราคาหุ้นในตลาดตอนนั้นมากกว่าราคาใช้สิทธิ เราก็จะได้กำไร เพราะสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าตลาด มาขายทำกำไรได้
ส่วน Put Options จะเป็นสิทธิในการขายหุ้นในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งถ้าเราซื้อมาแล้วไม่ใช้สิทธิ ก็เสียแค่ค่าซื้อ Options เช่นกัน
แต่ถ้าใช้สิทธิ ตอนที่ราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ เราก็จะได้กำไร เพราะสามารถใช้สิทธิขายหุ้น ในราคาที่สูงกว่าตลาดได้
และความพิเศษของ Put Options คือ เราไม่จำเป็นต้องมีหุ้นตัวนั้นอยู่ในมือจริง ๆ ก็สามารถขายหุ้นตัวนั้นได้ ตามสิทธิของ Options ด้วย
อธิบายแบบนี้แล้ว อาจจะยังงง ๆ กันอยู่ MONEY LAB จะขออธิบายเรื่อง Put Options ผ่านเคสการทำประกัน ให้ทุกคนเข้าใจง่าย ๆ กัน
เรามาเริ่มกันที่เรื่องราวของคุณพอร์ช ที่กำลังสร้างคฤหาสน์ 100 ล้านบาท เอาไว้เป็นที่พักอาศัยในช่วงบั้นปลายชีวิต หลังจากวางมือจากวงการธุรกิจ
เมื่อสร้างเสร็จ คุณพอร์ชก็กังวลว่าคฤหาสน์ของเขาอาจจะมีมูลค่าลดลง ด้วยเรื่องราวที่ไม่คาดฝัน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว
คุณพอร์ชเลยตัดสินใจทำประกันภัย เพื่อคุ้มครองคฤหาสน์ทั้งหลัง เพื่อที่ว่าอย่างน้อยเมื่อมีภัยพิบัติเกิดขึ้น คุณพอร์ชก็สามารถเคลมเงินค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้
โดยในสัญญาประกันจะมีสิ่งที่เรียกว่า วงเงินคุ้มครองอยู่ หมายความว่า ถ้าวงเงินคุ้มครองมีมูลค่าสูงสุด 50 ล้านบาท
คุณพอร์ชจะสามารถเคลมค่าเสียหายจากบริษัทประกันได้สูงสุด 50 ล้านบาท แม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงจะมากกว่านั้นก็ตาม
ยิ่งวงเงินคุ้มครองสูงเท่าไร ค่าเบี้ยประกันที่คุณพอร์ชต้องจ่ายในทุก ๆ ปี ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น เพื่อเป็นการชดเชยความเสี่ยงของบริษัทประกัน
คฤหาสน์ 100 ล้านบาทของคุณพอร์ช ก็เปรียบได้กับหุ้นในพอร์ตการลงทุนของเรา ที่บางครั้งก็อาจมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ทำให้มูลค่าหุ้นในพอร์ตของเราลดลงอย่างรวดเร็ว
ส่วน Put Options ก็เปรียบได้กับประกันภัยที่คุณพอร์ชทำไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากมูลค่าคฤหาสน์ที่อาจลดลงจากภัยพิบัติ
เพราะเมื่อเราซื้อ Put Options สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือจ่ายเงินค่าซื้อ Options เรียกว่า Options Premium ไม่ต่างอะไรจากที่เราต้องจ่ายเบี้ยประกัน เวลาทำประกัน
ซึ่งอันที่จริงแล้วคำว่า Premium ในภาษาอังกฤษก็ถูกใช้เพื่อสื่อถึงเบี้ยประกันด้วยเช่นกัน ก็คือคำว่า Insurance Premium
แต่สิ่งที่จะต่างออกไปก็คือ เราจะจ่าย Options Premium แค่ตอนซื้อ Options ครั้งเดียว ไม่เหมือนกับการทำประกัน ที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันเป็นงวด ๆ ทุกปี
เพราะอายุของ Options ที่นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมใช้ มักจะอยู่ที่ประมาณไม่กี่สัปดาห์ หรือไม่กี่เดือน ซึ่งสั้นกว่าการทำประกันภัยมาก
ดังนั้นหากนักลงทุนต้องการให้ Options คุ้มครองพอร์ตการลงทุนของเราให้ยาวนานขึ้น
ก็อาจต้องซื้อ Options ตัวใหม่ เรียกว่าการ Rollover Options และถ้าทำแบบนี้ ก็ต้องจ่าย Options Premium อีกครั้งหนึ่ง
หรือในต่างประเทศก็มีสิ่งที่เรียกว่า LEAPS ย่อมาจาก Long-Term Equity Anticipation Securities ที่เป็น Options ซึ่งมีอายุถึงประมาณ 1 ถึง 2 ปี
ดังนั้นแล้ว หากเราต้องการ Options มาประกันความเสี่ยงให้พอร์ตการลงทุนของเราตลอดเวลา ก็อาจต้องจ่ายเบี้ยประกันไปเรื่อย ๆ ไม่ต่างอะไรจากการทำประกันภัยเลย
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีคิดราคา Options Premium ก็เหมือนกับการคิดเบี้ยประกันภัย คือยิ่งมีความเสี่ยงสูง Options Premium ที่เราต้องจ่ายก็จะยิ่งแพงมากขึ้น
โดยความเสี่ยงที่สำคัญของราคาหุ้น ก็คือความผันผวน ทำให้เวลาที่เราซื้อ Options ในช่วงที่ราคาหุ้นกำลังผันผวน เราก็จะต้องจ่าย Options Premium ในราคาที่แพงกว่าปกติ
รวมไปถึงอายุสัญญาที่เหลืออยู่ของ Options ด้วย หากเราไปซื้อ Options ที่ใกล้ถึงวันหมดอายุสัญญา ก็จะมีค่า Options Premium ถูกกว่า Options ที่ยังเหลืออายุสัญญายาวนานกว่า
และอย่างที่เรารู้กันว่า ยิ่งเราทำประกันที่ให้วงเงินคุ้มครองสูง เบี้ยประกันก็ต้องสูงตามไปด้วย
ซึ่งสิ่งที่เหมือนกับวงเงินคุ้มครองของ Put Options ก็คือสิ่งที่เรียกว่า Strike Price หรือราคาใช้สิทธิ อันเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่มีผลต่อ Options Premium
โดยยิ่งวงเงินคุ้มครองสูง Options Premium ก็จะแพง ไม่ต่างอะไรจากประกันภัยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น เราซื้อ Put Options ที่มี Strike Price อยู่ที่ 8 บาท
หมายความว่า เมื่อเราซื้อ Put Options ตัวนี้มา ต่อให้ราคาหุ้นในตลาดแทบจะลงไปถึง 0 บาทเลยก็ตาม เราก็จะสามารถขายหุ้นอ้างอิงที่ราคา 8 บาทได้
พูดง่าย ๆ คือ การถือ Put Options ที่มี Strike Price 8 บาท ก็เหมือนได้รับวงเงินคุ้มครองมูลค่าหุ้นอ้างอิงว่าจะอยู่ที่ 8 บาทเหมือนเดิม ตลอดอายุสัญญาของ Options
เราลองมาดูตัวอย่างการซื้อ Put Options เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของคุณพอร์ชกันเลยดีกว่า
เพราะฉะนั้น จากการที่คุณพอร์ชมีคฤหาสน์ 100 ล้านบาทอยู่แล้ว เมื่อคุณพอร์ชซื้อประกันอัคคีภัย เพื่อคุ้มครองคฤหาสน์ในกรณีที่อาจเกิดเพลิงไหม้
สมมติประกันฉบับนี้มีอายุสัญญา 1 ปี มีวงเงินคุ้มครอง 50 ล้านบาท แลกกับการที่คุณพอร์ชต้องจ่ายเบี้ยประกันจำนวน 5 ล้านบาท
ก็เปรียบได้กับการที่คุณพอร์ชมีหุ้นมูลค่า 100 ล้านบาท แล้วไปซื้อ Put Options ที่มีราคา Strike Price 50 ล้านบาท
โดย Put Options นี้มีอายุสัญญา 1 ปี และมี Options Premium ที่คุณพอร์ชต้องจ่าย 5 ล้านบาท
ต่อให้ราคาหุ้นที่คุณพอร์ชถือ จะร่วงลงไปเหลือแค่ 10 ล้านบาท แต่คุณพอร์ชก็จะขายหุ้นจำนวนนั้นได้อย่างน้อย 50 ล้านบาท เพราะทำประกัน Put Options เอาไว้แล้ว
แต่ความพิเศษของการซื้อสัญญา Options ในตลาดการเงินที่พิเศษกว่าการทำประกันในโลกแห่งความเป็นจริง ก็คือ เราไม่จำเป็นต้องมีหุ้นอ้างอิงของ Options ก็สามารถทำกำไรจากการซื้อ Options ได้
ซึ่งจะต่างจากการทำประกันภัย ที่เราต้องมีทรัพย์สินที่เราอยากปกป้องมูลค่าจริง ๆ ถึงจะทำประกันภัยได้
เพราะการปิดสัญญา Options เพื่อเคลมเงินจากสิทธิในการขายหุ้น ไม่ต้องส่งมอบหุ้นกันจริง ๆ ก็ได้ เพราะใช้วิธีหักเงินจากการชำระบัญชีระหว่างคู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่ายแทน
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ก็เหมือนเป็นช่องโหว่ให้กับนักเก็งกำไรที่ไม่มีหุ้นอยู่ในมือจริง ๆ และไม่ได้อยากปกป้องมูลค่าทรัพย์สินของตัวเอง
เข้ามาเก็งกำไรจากส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้น เพราะบางครั้ง Options Premium ก็มีราคาถูกมาก แต่หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คนถือ Put Options ก็อาจทำกำไรได้หลายเท่าตัว
ไม่ต่างอะไรจากการพนันบอล ที่บางคนยอมจ่ายเงินแทงสวน พนันในเหตุการณ์ที่หลายคนไม่คิดว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้น เพื่อหวังว่าจะได้กำไรเยอะ ๆ เลย..
#ลงทุน
#หลักการลงทุน
#Options
References