“Year of Success” Maybank Securities ภายใต้การบริหารของ คุณอารภัฏ สังขรัตน์ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจด้านการลงทุน ครองส่วนแบ่งการนำบริษัทเข้า IPO อันดับหนึ่งในไทย
27 พ.ย. 2024
Maybank x MONEY LAB
เมื่อพูดถึงธนาคาร ที่มีบทบาทสำคัญในตลาดการเงินไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Maybank คือชื่อที่โดดเด่นและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เริ่มธุรกิจในไทยมายาวนานกว่า 30 ปี โดยมุ่งเน้นบริการด้านการลงทุนและนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบครบวงจร
แม้ธุรกิจหลักทรัพย์ต้องเผชิญกับความท้าทายจากคู่แข่งรายใหม่ และตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น เช่น กองทุนรวม ETF และผลิตภัณฑ์การเงินรูปแบบใหม่
แต่ Maybank ยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัท ที่สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
แต่ Maybank ยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัท ที่สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ความสำเร็จนี้เกิดจากกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง และความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้บริโภคและแนวโน้มอุตสาหกรรม
ในปี 2567 Maybank ได้สร้าง “A Year of Success” ด้วยผลประกอบการที่โดดเด่น ตอกย้ำการเติบโตที่มั่นคงและบทบาทสำคัญในธุรกิจหลักทรัพย์ของไทยและภูมิภาคอย่างชัดเจน
เบื้องหลังความสำเร็จของ Maybank น่าสนใจอย่างไร ?
MONEY LAB จะสรุปเบื้องหลังความสำเร็จของ Maybank ผ่านมุมมองของคุณอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
MONEY LAB จะสรุปเบื้องหลังความสำเร็จของ Maybank ผ่านมุมมองของคุณอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ด้วยเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทั่วเอเชีย Maybank ให้บริการทางการเงินครบทุกมิติ ทั้งการลงทุน การวางแผนการเงิน และการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนรายย่อยและองค์กรที่ต้องการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค
ในประเทศไทย Maybank ยังคงครองตำแหน่งผู้นำ ด้วยยอดสินเชื่อเพื่อการลงทุน (Margin Loan) สูงถึง 13,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
นอกจากนี้ ในปี 2567 Maybank ยังครองส่วนแบ่งการนำบริษัทเข้า IPO ถึง 26% จากหุ้นใหม่ 7 บริษัท และการจดทะเบียน REITs เพิ่มเติม
ที่น่าสนใจคือ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ทำรายได้ถึง 2,017 ล้านบาท และกำไร 364 ล้านบาท
ซึ่งใกล้เคียงกับกำไรรวมทั้งปี 2566 พร้อมกลับมาเติบโตในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด
ซึ่งใกล้เคียงกับกำไรรวมทั้งปี 2566 พร้อมกลับมาเติบโตในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด
อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของ Maybank ?
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา Maybank ได้ปรับโฉมธุรกิจครั้งใหญ่ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี ยกระดับบริการ และเพิ่มความคล่องตัวของระบบ เพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
คุณอารภัฏ กล่าวว่า “การปรับตัวไม่ใช่ทางเลือก แต่คือหัวใจของการอยู่รอดและเติบโตในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
Maybank จึงมุ่งเน้นการสร้างทีมวิจัยที่แข็งแกร่ง เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ พร้อมลดความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ และขยายบริการครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น พันธบัตร กองทุน และการลงทุนในต่างประเทศ”
พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เช่น
- Maybank Invest แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยเน้นการเข้าถึงที่ง่ายและสะดวก รองรับทั้งนักลงทุนมือใหม่ และนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในพอร์ตการลงทุน
- Sharkfin ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
- KIKO (Knock-In Knock-Out) เครื่องมือการลงทุนที่ให้นักลงทุนสามารถกำหนดกรอบความเสี่ยงและผลตอบแทนได้อย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของ Maybank แต่คุณอารภัฏ ได้เน้นย้ำว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่หลายบริษัทสามารถทำได้
แต่สิ่งที่ทำให้ Maybank โดดเด่นเหนือคู่แข่ง คือความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยน “Mindset” ของพนักงาน ไม่เพียงแค่การเปลี่ยนวิธีคิด แต่ยังรวมถึงการปรับมุมมองเพื่อให้พนักงานพร้อมเผชิญความเปลี่ยนแปลง และทำงานสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร
คำถามคือ Maybank มีวิธีการอย่างไรในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ?
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ Maybank คือการพัฒนาโปรแกรมความภักดีที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เช่น “Tiger Club” สำหรับนักลงทุน โดยเน้นการดูแลและให้คำแนะนำที่เหมาะสมตามระดับลูกค้า (Tier) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและความสัมพันธ์ระยะยาว
สำหรับนักลงทุนทั่วไป Maybank ให้ความรู้ด้านการลงทุนอย่างถูกต้อง เช่น การเลือกระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม หรือการเลือกกองทุนที่ตรงกับเป้าหมาย เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าใจว่า การลงทุนอย่างมีหลักการคือกุญแจสู่ความมั่นคงทางการเงิน
Maybank ยังให้คำแนะนำการลงทุนที่จริงใจ โดยไม่มุ่งเน้นเพียงการซื้อขายตามสถานการณ์ตลาด แต่ช่วยลูกค้าเลือกการลงทุนที่ตอบโจทย์เป้าหมายและความต้องการจริง
สำหรับลูกค้าระดับ High Net Worth และ Ultra High Net Worth Maybank ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในการดูแลสุขภาพ พร้อมให้คำแนะนำการลงทุนแก่พนักงานของโรงพยาบาล เพื่อเสริมความรู้ด้านการเงิน
นอกจากนี้ Maybank ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยคัดเลือกหุ้นสำหรับพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ DR และ DRx ให้กับธนาคารกรุงไทย เพื่อเสริมศักยภาพการลงทุนในตลาดไทยอีกด้วย
ถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นถึงกลยุทธ์ของ Maybank ที่ครอบคลุมทั้งการลงทุน การดูแลลูกค้า และการสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งกันบ้างแล้ว
แต่คำถามคือ ในอนาคตแผนการเติบโตของ Maybank น่าสนใจอย่างไร ?
ก่อนอื่นเราลองมาดูสัดส่วนรายได้ของ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งแบ่งเป็น
- 39.9% ผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงิน
- 39.2% ค่านายหน้า
- 7.8% ค่าธรรมเนียมและบริการ
- 7.6% ดอกเบี้ย
- 5.5% รายได้อื่น ๆ
- 39.2% ค่านายหน้า
- 7.8% ค่าธรรมเนียมและบริการ
- 7.6% ดอกเบี้ย
- 5.5% รายได้อื่น ๆ
จะเห็นได้ชัดว่า สัดส่วนรายได้หลักของ Maybank ยังคงมาจากธุรกิจหลักทรัพย์ และ Wealth ที่ให้บริการด้านการลงทุนและการจัดการสินทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ในอนาคต Maybank ตั้งเป้าพัฒนาแนวทางใหม่ โดยมุ่งเน้นการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการแบบ “Tailored Made” หรือ “ออกแบบเฉพาะตามความต้องการ” เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างแท้จริง
คุณอารภัฏ กล่าวว่า ในอีก 4 ปีข้างหน้า Maybank จะพัฒนากองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) โดยใช้เครือข่ายสาขาทั่วเอเชียและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศ ซึ่งช่วยให้เข้าถึงโอกาสการลงทุนในตลาดท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่นนี้ทำให้ Private Fund ของ Maybank มีข้อมูลเชิงลึกและความเข้าใจในตลาด ช่วยออกแบบกองทุนที่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการขยายพอร์ตสู่ตลาดต่างประเทศ
อีกกลยุทธ์สำคัญคือ การเข้าสู่ธุรกิจ Family Office ซึ่งช่วยจัดการมรดกและถ่ายโอนความมั่งคั่งระหว่างรุ่น แม้แนวคิดนี้จะยังไม่แพร่หลายในไทย แต่ด้วยสัดส่วน Family Business ที่สูง ธุรกิจนี้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญ
Family Office ของ Maybank มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าระดับ High Net Worth โดยให้บริการเป็นตัวกลางเพื่อให้การถ่ายโอนมรดกเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ Maybank เตรียมเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ รองรับการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท พร้อมฟีเชอร์สำคัญ เช่น การแจ้งเตือนเพื่อกระจายความเสี่ยง การติดตามผลแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน
คุณอารภัฏ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “Maybank ได้ก้าวข้ามจากธุรกิจหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม สู่การเป็นองค์กรที่ครบวงจร ด้วยการนำ Digital Transformation มาใช้ในทุกมิติ
ตั้งแต่ธุรกิจสถาบัน (Investment Banking) นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Brokerage) การบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ไปจนถึงการลงทุนรูปแบบใหม่
เป้าหมายของเรา คือ การเป็นหนึ่งในผู้เล่นอันดับ 1-3 ของประเทศไทยในทุกกลุ่มธุรกิจ ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน
การปรับปรุงธุรกิจเปรียบเหมือนการต่อจิกซอว์ ที่ต้องเติมเต็มทุกชิ้นส่วนให้สอดคล้องกัน ไม่ใช่การมุ่งเน้นที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่เป็นการสร้างภาพรวมที่สมบูรณ์
จิกซอว์แต่ละชิ้นสะท้อนองค์ประกอบสำคัญ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างทีมงานที่มีศักยภาพ การขยายเครือข่ายพันธมิตร และการปรับตัวตามพฤติกรรมลูกค้าในยุคดิจิทัล
กระบวนการนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน แต่ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยความตั้งใจและความรอบคอบ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงและนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว”
References:
- สัมภาษณ์พิเศษ คุณอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
- คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2567 ของบริษัท
- สัมภาษณ์พิเศษ คุณอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
- คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2567 ของบริษัท