บริษัท SABUY และ JCKH ผิดนัดชำระหนี้ เตรียมขึ้นเครื่องหมาย CB วันจันทร์
15 พ.ย. 2024
ปีนี้เป็นปีที่เราได้เห็นหลายบริษัทในตลาดหุ้นไทย ประสบปัญหา แต่ดูเหมือนว่าแม้จะเข้าสู่ช่วงปลายปีแล้ว ตลาดหุ้นไทยก็ยังคงมีเรื่องให้นักลงทุนได้พูดถึงกันอีกครั้ง
นั่นก็คือการผิดนัดชำระหนี้ของ 2 บริษัทอย่าง SABUY และ JCKH ซึ่งจะทำให้หุ้นของบริษัทในกระดาน ขึ้นเครื่องหมายเตือน CB หรือ Caution Business ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 หรือในวันจันทร์หน้านี้
ซึ่งเป็นเครื่องหมายเตือนว่าบริษัทกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับฐานะการเงินหรือผลการดำเนินงานของบริษัท ทำให้นักลงทุนต้องซื้อขายหุ้นด้วยเงินสดเท่านั้น
จากการที่บริษัท SABUY ได้แจ้งผ่านข่าวตลาดหลักทรัพย์ว่า ได้ทำการผิดนัดชำระหนี้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง
เนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ เงินเบิกเกินบัญชี เงินกู้ยืมระยะยาว และดอกเบี้ยที่ครบกำหนด ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2567 ได้ครบจำนวน หรือทันเวลาที่กำหนด กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง
ทำให้ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมียอดหนี้ที่ต้องชำระกับสถาบันการเงินนั้น เป็นจำนวน 118.2 ล้านบาท
โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทาง SABUY ก็ได้ปฏิเสธว่าบริษัทไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้กับสถาบันการเงิน เพราะได้รับการขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไปเป็น 10 ปี จากเดือนสิงหาคม 2567 เป็นกรกฎาคมปี 2577
ในหมายเหตุประกอบงบการเงินของ SABUY นั้นได้ชี้แจงไว้ว่า ทางบริษัทได้มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนและเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ และมีแผนที่จะปรับปรุงแผนธุรกิจและการดำเนินงานในอนาคต
รวมถึงการขายสินทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีกระแสเงินสดเพียงพอในการดำเนินงานและการสนับสนุนสภาพคล่อง
นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้มีการแต่งตั้ง CEO ใหม่เป็น นายอิทธิชัย พูลวรลักษณ์ พร้อมกับมีแผนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท ดิบบลิว เอส โอ แอล จำกัด (มหาชน) ด้วย
พร้อมกับมีการเจรจาขอยืดระยะเวลาชำระหนี้ไปอีก 3 ปี กับเจ้าหนี้หุ้นกู้อีก 3 รุ่น ที่จะถึงเวลาครบกำหนดชำระในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3795.8 ล้านบาท
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าทาง SABUY จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่ เพราะใน 9 เดือนแรกของปี 2567 นี้ SABUY ก็ขาดทุนมากถึง 5,740 ล้านบาทแล้ว
โดยสาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากการรับรู้ผลขาดทุนจากการขายบริษัทย่อย
สำหรับบริษัท JCKH นั้น เป็นเจ้าของอดีตร้านอาหารชื่อดังอย่าง ร้าน Hotpot Buffett และ ร้าน Daidomon ที่ประกาศปิดตัวไปก่อนหน้านี้ด้วย
โดยปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจร้านอาหาร Shabu Tomo และ Burger & Lobster
บริษัทรายงานว่า มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ทำให้มีผลขาดทุนสะสมเป็นจำนวนเงิน 1,504 ล้านบาท
และจากผลประกอบการที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยเงิยกู้ยืมตามกำหนดเวลาของสถาบันการเงินได้
ทางบริษัท JCKH จึงต้องเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน และเจ้าหนี้การค้า ในการขอเลื่อนเวลาชำระหนี้สิน และดอกเบี้ยออกไปก่อน ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเจรจาได้สำเร็จ
และตอนนี้บริษัทก็กำลังมองหาผู้ร่วมลงทุน และแหล่งเงินทุนอื่นเพิ่มเติม โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทยังคงยืนยันว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับบริษัทอย่างเต็มที่
แต่ถ้าเราลองมาดูงบแสดงฐานะทางการเงินของ JCKH ก็จะพบว่า บริษัทมีหนี้เงินกู้รวมกันมากถึง 525 ล้านบาท ขณะที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 365 ล้านบาทเท่านั้น แสดงถึงเพดานการก่อหนี้เพิ่มที่จำกัดมากแล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงไปมากกว่านั้นก็คือ ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อนำมาชำระหนี้ เพราะจากหมายเหตุประกอบงบการเงิน
บริษัทแจ้งว่าเหลือร้านอาหารที่เปิดทำการ ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 อยู่เพียง 3 สาขาเท่านั้น ลดลงจากปีที่แล้วที่มีอยู่ 15 สาขา
สำหรับกรณีของ JCKH ทางรอดของบริษัทจึงน่าจะอยู่ที่การสนับสนุนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และผลของการเจรจากับเจ้าหนี้ต่าง ๆ ว่าจะจบลงอย่างไร..
References
-ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย