วิธีเลือกหุ้น DCA แบบคุณกวี ชูกิจเกษม นักสร้างอิสรภาพ ทางการเงิน | MONEY LAB
การทยอยลงทุน ด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กัน ไปเรื่อย ๆ ในทุกเดือน หรือทุกไตรมาส หรือ DCA นั้น เหมาะสำหรับคนที่เริ่มลงทุน รวมถึงไม่ได้มีเงินต้นมาก
วิธีเลือกหุ้น DCA แบบคุณกวี ชูกิจเกษม นักสร้างอิสรภาพ ทางการเงิน
28 ก.พ. 2024
แต่รู้หรือไม่ว่า คุณกวี ชูกิจเกษม นักวิเคราะห์หุ้นชื่อดัง และนักสร้างอิสรภาพทางการเงิน ที่อยู่คู่กับตลาดหุ้นไทยมา 30 ปี ก็ยังประสบความสำเร็จ กับการใช้วิธีการลงทุน อันแสนเรียบง่าย แบบนี้ได้เช่นเดียวกัน
ถึงอย่างนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด สำหรับการ DCA ก็คือ การเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดี และเติบโตได้ตลอด
ซึ่งแน่นอนว่า คุณกวี ที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนแบบนี้ ก็ต้องมีหลักการเลือกหุ้นให้ถูกต้อง ที่เราทุกคนสามารถนำไปทำตามได้
และถ้าหากสงสัยว่า หลักการดังกล่าวมีอะไรบ้าง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน ให้เข้าใจง่าย ๆ
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน ให้เข้าใจง่าย ๆ
หุ้นของบริษัทที่คุณกวีจะซื้อเพื่อ DCA จะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
มีกำไรสุทธิต่อหุ้น เติบโตอย่างสม่ำเสมอ
เคยมีคำกล่าวไว้ว่า “กำไรคือเจ้ามือที่แท้จริงของราคาหุ้น” เพราะถ้าหากหุ้นมีกำไรเติบโต ก็หมายความว่า ธุรกิจมีประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ และสามารถสร้างประโยชน์ ให้กับผู้ถือหุ้นได้มาก
นั่นจึงทำให้ ราคาหุ้น และมูลค่าของบริษัทนั้น ควรจะเพิ่มขึ้น ตามประสิทธิภาพของตัวธุรกิจ เห็นได้จากความสัมพันธ์ที่ว่า
ราคาหุ้น เท่ากับ อัตราส่วน P/E คูณกับ กำไรสุทธิต่อหุ้น
สมมติว่า เดิมบริษัท A มีกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 1 บาท และหุ้นของบริษัท ซื้อขายกันที่อัตราส่วนราคาและกำไรสุทธิ หรือ P/E Ratio ที่ 15 เท่า ดังนั้น ราคาหุ้นของบริษัท A จึงเท่ากับ 15 บาทต่อหุ้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าผลประกอบการของบริษัท A ดีขึ้น โดยกำไรสุทธิต่อหุ้น เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 บาทต่อหุ้น แม้ว่าค่า P/E Ratio ของบริษัท A จะยังอยู่ที่ 15 เท่า เท่าเดิม แต่ราคาหุ้นของบริษัท A จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 30 บาทต่อหุ้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่ากำไรต่อหุ้นที่เติบโตขึ้น ก็ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน และนอกจากนี้ กำไรที่เพิ่มขึ้น บริษัทก็สามารถจ่ายปันผล ได้มากขึ้นตาม ทำให้เราได้ผลตอบแทน ทั้งจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น และเงินปันผล
มีอัตรากำไรขั้นต้นสม่ำเสมอ
ในการจะเลือกหุ้นนั้น เราจะใช้เพียงแค่ การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น อย่างเดียวไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าบางครั้ง กำไรที่เพิ่มขึ้น อาจมาจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงอย่างเดียว แต่รายได้ไม่โต
ซึ่งบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว จะต้องมีรายได้เติบโต ไปพร้อม ๆ กับควบคุมค่าใช้จ่าย ให้น้อยลงเรื่อย ๆ
สิ่งที่จะช่วยให้เราตรวจสอบได้ ก็คือ อัตรากำไรขั้นต้น ซึ่งหาได้จาก
กำไรขั้นต้น = รายได้จากการขายสินค้าและบริการ - ต้นทุนสินค้าขายและการบริการ มาหารด้วย รายได้จากการขายสินค้าและบริการ
เช่น บริษัท A มี
รายได้จากการขายสินค้า 3,000 ล้านบาทต้นทุนสินค้าขาย 1,200 ล้านบาท
ดังนั้น บริษัท A จึงมี อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 60%
นอกจากนี้ เราควรจะต้องตรวจสอบข้อมูลของบริษัท ย้อนหลังไปอีกหลาย ๆ ปีด้วย ว่าที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทนั้น เป็นอย่างไร
มีค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินกิจการ ที่สม่ำเสมอ
เราจะต้องตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยว่า ในแต่ละปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของบริษัท โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการบริหาร และการขาย หรือที่เรียกรวมกันว่า SG&A นั้น
เพิ่มขึ้นหรือลดลง มีความสอดคล้องและสม่ำเสมอ เมื่อเทียบกับรายได้ของบริษัทหรือไม่
ถ้าหากเทียบกันแล้วพบว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา สัดส่วน SG&A ต่อรายได้ ลดลงหรือเท่า ๆ เดิม ก็หมายความว่า บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี
มีหนี้สิน ไม่สูงจนเกินไป
การตรวจสอบว่าบริษัทมีหนี้สินมากเกินไปหรือไม่ สามารถเช็กได้ด้วย อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ D/E Ratio คือ นำหนี้สินรวม มาหารด้วย ส่วนของผู้ถือหุ้น
โดยอัตราส่วน D/E ที่ดีนั้น สำหรับธุรกิจแบบปกติแล้ว ก็ไม่ควรจะเกิน 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเป็นธุรกิจ ที่มีเจ้าหนี้การค้าเยอะ อย่างเช่น บริษัท CPALL ที่เป็นธุรกิจค้าปลีก เราจะต้องใช้
อัตราส่วนหนี้สิน ที่มีภาระดอกเบี้ย ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ IBD/E Ratio เป็นการนำหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย มาหารด้วย ส่วนของผู้ถือหุ้น
เพื่อให้สะท้อนภาระหนี้ที่แท้จริงของกิจการ เพราะหนี้ของเจ้าหนี้การค้านั้น ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ซึ่งอัตราส่วน IBD/E ที่ดี ก็ไม่ควรจะเกิน 2 เท่า เช่นเดียวกัน
มี ROE สูง อย่างสม่ำเสมอ
ROE หรือ ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น คือสิ่งที่จะบอกเราว่า ผู้บริหารของบริษัทสามารถนำเงินของผู้ถือหุ้น ไปทำธุรกิจ แล้วสร้างผลตอบแทนได้ดีแค่ไหน
โดยตัวเลข ROE ที่คุณกวีมองว่าดีนั้น ควรจะอยู่ที่ 15% ขึ้นไป และต้องมีความสม่ำเสมอ คือทำให้ ROE อยู่ในระดับนี้ได้ เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน
เคยเอาตัวรอดจากวิกฤติมาแล้ว
บริษัทที่เคยมีประวัติว่า สามารถเอาตัวรอด ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ มักจะเป็นบริษัทที่มีผู้บริหารและทีมงานที่เก่ง มีวิสัยทัศน์ และรู้วิธีป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ได้เป็นอย่างดี
อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น Mega Trend ของประเทศ
บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น Mega Trend ของประเทศ คือบริษัทที่มีโอกาสในการเติบโตของรายได้และกำไร สูงมาก
เพราะความต้องการใช้สินค้าและบริการ จากบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมประเภทนี้ ยังคงมีสูงอยู่ หากเราเลือกลงทุนหุ้นของบริษัทได้ถูกตัว ก็จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนที่สูงมาก
หุ้นของบริษัทต้องมีสภาพคล่องในการซื้อขาย
สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นของบริษัทนั้น คือความเสี่ยงที่เราต้องระวังเอาไว้ด้วย
เพราะในบางครั้ง แม้เราจะเลือกซื้อหุ้นได้ถูกตัว แต่พอถึงเวลาที่จะต้องขาย เรากลับไม่สามารถขายหุ้นออกมาได้ เพราะสภาพคล่องในการซื้อขาย น้อยเกินไป
เราจึงต้องสังเกตที่ Free Float หรือสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อย ของบริษัทที่เราจะลงทุน ทุกครั้งด้วย
ถ้า Free Float สูง หมายความว่า มีหุ้นอยู่ในมือนักลงทุนรายย่อย เป็นจำนวนมาก ทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นของบริษัท มีอยู่สูง เวลาเราเข้าซื้อ หรือขายหุ้นออก ก็จะทำได้เร็ว
เพื่อป้องกันปัญหานี้ เราก็อาจจะตั้งกฎก่อนที่จะลงทุนเอาไว้เลยก็ได้ว่า จะเลือกลงทุนเฉพาะบริษัท ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายเป็นอย่างดี เช่น มี Free Float มากกว่า 40% ขึ้นไป
มีธรรมาภิบาลที่ดี
ในการตรวจสอบว่าบริษัทมีธรรมาภิบาลที่ดีหรือไม่นั้น เราควรจะตรวจสอบว่า บริษัทมีนโยบายการทำธุรกิจ ที่ยั่งยืน และโปร่งใสหรือไม่ ?
ส่วนในด้านของผู้บริหารนั้น เราควรจะตรวจสอบประวัติของผู้บริหาร เช่น มีประสบการณ์ทำอะไรมาบ้าง และมีชื่อเสียงเป็นอย่างไร หรือเคยทำผิดกฎหมายมาก่อนหรือไม่
รวมถึงผู้บริหารคนนี้ เป็นคนดี ซื่อสัตย์ และรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญหรือไม่ ?
เพราะบริษัทที่มีผู้บริหารที่เก่ง และเป็นคนดี มีธรรมาภิบาล ในระยะยาวนั้น มักจะสามารถทำให้ผลประกอบการของบริษัท เติบโตขึ้นได้อย่างยั่งยืน
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราคงพอเข้าใจถึงหลักการเลือกหุ้น เพื่อจะ DCA ของคุณกวี ชูกิจเกษม กันดีขึ้นบ้างแล้ว
จะเห็นได้ว่า วิธีการลงทุนแบบ DCA นั้น แม้จะดูเรียบง่าย แต่การจะทำให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องมีการวิเคราะห์ ทั้งในเชิงคุณภาพ และปริมาณ เพื่อให้ได้หุ้นที่ถูกต้อง สำหรับลงทุนไปได้ยาว ๆ
เพราะหุ้นแต่ละตัว กว่าที่คุณกวี จะเลือกมา DCA ได้นั้น ก็ต้องผ่านการตรวจสอบผลประกอบการของบริษัท และอัตราส่วนทางการเงิน นานกว่า 10 ปีขึ้นไป
เพราะบริษัทที่สามารถรักษาความสามารถในการทำธุรกิจได้เป็นอย่างดี มาเป็น 10 ปีนั้น มักจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง มีความมั่นคง และสามารถทำธุรกิจ ให้เติบโตต่อไปได้ อีกยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะซื้อหุ้นทุกครั้ง เราต้องอย่าลืมประเมินมูลค่าที่แท้จริงออกมาด้วย เพื่อให้เราไม่ซื้อหุ้นมาในราคาที่แพงเกินไป
เพราะต่อให้เป็นหุ้นที่ดี แต่ถ้าเราซื้อมาในราคาที่แพงเกินไปแล้ว เราก็คงไม่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก
อีกทั้ง อย่าลืมกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ด้วยการถือหุ้นของบริษัทที่ดี ในหลากหลายอุตสาหกรรม ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม..
References
งานสัมมนา เทคนิคแก้พอร์ตแบบกวี รับปี 2024 โดย คุณกวี ชูกิจเกษม เมื่อวันที่ 27/1/2567หนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน ตอน มหัศจรรย์ผลตอบแทน (2559) โดย กวี ชูกิจเกษมหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่งยืน หนทางสู่อิสรภาพทางการเงิน ที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ (2556) โดย กวี ชูกิจเกษมhttps://www.longtunman.com/3554