รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเคยมีมูลค่า GDP ที่อยู่ในจุดสูงสุดราว 19 ล้านล้านบาท ซึ่งเราต้องย้อนกลับไปถึงปี 2561 เลยทีเดียว

และถึงแม้จะเป็นมูลค่า GDP สูงสุดที่ไทยเคยทำไว้ แต่ก็ยังคงเทียบไม่ได้กับ 10 บริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เมื่อรวมกันแล้วมีมูลค่ามากถึง 320 ล้านล้านบาท หรือมากกว่า GDP สูงสุดของประเทศไทย เกือบถึง 17 เท่า !

บริษัทที่ว่ามานั้น คือบริษัทอะไรบ้าง และมีความน่าสนใจอย่างไร BillionMoney จะมาสรุปให้เข้าใจกัน

ประเทศสหรัฐอเมริกา คือหนึ่งในประเทศมหาอำนาจ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือ GDP สูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมีมูลค่าราว 894 ล้านล้านบาท แถมยังเป็นประเทศที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ตลอดระยะเวลาหลายปีให้หลัง รวมถึงการมีอยู่ของแบรนด์บริษัทชื่อดัง จากสินค้า และบริการระดับโลกที่หลายคนเคยใช้ ซึ่งเสมือนเครื่องยนต์ที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เช่น

- Apple ผู้นำแห่งวงการเทคโนโลยีด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ในปัจจุบัน

ลองนึกถึงคนรอบ ๆ ตัวคุณ ว่าโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ คือแบรนด์อะไร แน่นอนว่า iPhone และ Mac จากแบรนด์ Apple คงเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่คุณจะนึกถึง ซึ่งนั่นไม่ใช่เพียงแค่คุณคนเดียว เพราะคนทั่วโลกต่างก็นึกถึงในแบบเดียวกับคุณเช่นกัน

นั่นจึงทำให้ Apple เป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพิสูจน์ได้จากการเป็นแบรนด์ที่มีสินค้าออกใหม่ และสามารถทำให้ติดตลาดได้ในทุกปี จนทำกำไรให้กับบริษัทได้ถึง 4.3 ล้านล้านบาท ใน 4 ไตรมาสหลังสุด และยังทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ด้วยจำนวนกว่า 85 ล้านล้านบาท

- Meta ผู้นำด้านโซเชียลมีเดีย

หากว่าคุณได้อ่านบทความนี้อยู่บนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook หรือกำลังกดไอคอนหัวใจให้เพื่อนของคุณอยู่บน Instagram
อยากบอกว่าคุณกำลังใช้บริการของ Meta อยู่นั่นเอง

ด้วยความนิยมของ Facebook และ Instagram ในการใช้งานเพื่ออัปเดตข่าวสาร ความคิดเห็น และไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต ทำให้ Meta ประสบความสำเร็จในแง่ของผู้นำด้านโซเชียลมีเดีย ที่มีผู้ใช้งานเกือบทั่วทุกมุมโลก
จนมูลค่าบริษัทเคยทะยานอยู่ที่จุดสูงสุดราว 38 ล้านล้านบาท

- Tesla ผู้ท้าทายอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มาพร้อมแพสชันในการเปลี่ยนแปลงโลก

หากพูดชื่อของมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกอย่าง Elon Musk ทุกคนจะนึกถึงแบรนด์อะไรกันบ้าง แน่นอนว่า Tesla คงเป็นชื่อที่ใครหลาย ๆ คนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ

เพราะ Tesla นอกเหนือจากการมีผลผลิตเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าเจ้าอื่น ๆ แล้ว
Tesla ยังถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ CEO อย่าง Elon Musk ด้วยการเป็นบริษัทที่มีมูลค่าที่สูงถึง 21 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งรั้งอันดับที่ 7 ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างจากแบรนด์ดังของแต่ละวงการเท่านั้น เพราะสหรัฐอเมริกายังคงมีบริษัทที่เป็นแบรนด์ดังในวงการอื่น ๆ อยู่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

- Microsoft
- Alphabet
- Amazon
- Visa
- J.P. Morgan
- P&G
- Mastercard

โดยทั้ง 10 บริษัทที่ยกตัวอย่างมานี้ ถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูง มีรากฐานที่แข็งแกร่ง และยังคงมีช่องทางในการทำกำไรให้กับธุรกิจต่อไปได้อีกนาน และจากคุณสมบัติเหล่านี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำไม 10 บริษัทเหล่านี้ ถึงน่าลงทุนเพื่อสร้างกำไรในระยะยาว

และสำหรับใครที่ต้องการให้ 10 บริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่ารวมกันมากกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือ GDP สูงสุดของประเทศไทย เกือบถึง 17 เท่า มารวมพลังกันทำกำไรให้กับพอร์ตของคุณ ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณจะได้เริ่มต้นลงทุนกับ กองทุนเปิด MEGA10 ชนิดสะสมมูลค่า (MEGA10-A) และชนิดเพื่อการออม (MEGA10-SSF) และอีกหนึ่งกองทุน คือ กองทุนเปิด MEGA10 เพื่อการเลี้ยงชีพ (MEGA10RMF) ที่รวมบริษัทยักษ์ใหญ่จากหลากหลายวงการในประเทศสหรัฐอเมริกาเอาไว้ในกองทุนเดียว ด้วยสัดส่วนการลงทุนที่เน้น ๆ บริษัทละเกือบ 10% แบบที่ไม่เคยมีกองทุนไหนมอบให้กับคุณมาก่อน !

ซึ่งกองทุนเปิด MEGA10 และ MEGA10RMF มีนโยบายที่เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value) โดยผู้จัดการกองทุน จะเลือกลงทุนจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงสุด และมีสภาพคล่อง 10 บริษัทแรก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชี ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

สำหรับวิธีการคัดเลือกบริษัทชั้นนำที่กองทุนนี้ลงทุน ใช้วิธี “Rule Based Approach” ซึ่งจะคัดเลือกบริษัทที่มี Brand ที่ดี 50 บริษัท จากการจัดอันดับโดยบริษัทที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับในเรื่องของการจัดอันดับดังกล่าว และนำมาจัดอันดับ Market Cap. เพื่อค้นหา 10 บริษัท ที่มีความแข็งแกร่งจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก

นอกจากจุดเด่นในการลงทุนกับแบรนด์ชั้นนำในหลากหลายวงการกว่า 10 แบรนด์แล้ว ยังตอบโจทย์ในเรื่องการลดหย่อนภาษีในโค้งสุดท้ายของปีอีกด้วย เพราะกองทุนเปิด MEGA10-SSF และ MEGA10RMF ช่วยให้คุณได้ลดหย่อนภาษี ไปพร้อมกับการลงทุนในหลายแบรนด์ดัง

เพราะตราบใดที่คุณยังคงเห็น ยังคงได้ยิน หรือยังคงใช้สินค้าจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 10 แบรนด์เหล่านี้อยู่ในทุก ๆ วัน นั่นก็เท่ากับว่าโอกาสในการเติบโตของแบรนด์เหล่านี้ ก็ยังคงมีอยู่ต่อไป ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่คุณจะร่วมสร้างกำไรให้พอร์ตของคุณได้เติบโตในระยะยาวกับแบรนด์เหล่านี้ ผ่าน กองทุนเปิด MEGA10 และ MEGA10RMF

เสนอขายกองทุนครั้งแรก วันที่ 8 ถึง 20 ธันวาคม 2565

สำหรับท่านใดที่สนใจ และต้องการ Fund Fact Sheet หรือขอรับหนังสือชี้ชวน ของกองทุนเปิด MEGA10 และ MEGA10RMF สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://finno.me/mega-lt22 หรือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จํากัด โทร. 02-015-0222 หรือ www.talisam.co.th

คำเตือน :
ปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ : ความเสี่ยงทางตลาด (Market Risk) / ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ออกตราสาร (Business Risk) / ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง (Liquidity Risk) / ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk)

การลงทุนในหน่วยลงทุนมิใช่การฝากเงิน และมีความเสี่ยงของการลงทุน ผู้ลงทุนควรลงทุนในกองทุนรวมนี้ เมื่อเห็นว่าการลงทุนในกองทุนรวมเหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จากการลงทุนดังกล่าวได้ กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน SSF และ RMF กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน

References
- Fund Fact Sheet กองทุนเปิด MEGA10 และ MEGA10RMF โดย บลจ.ทาลิส จำกัด (www.talisam.co.th) ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2565
- https://tradingeconomics.com/thailand/gdp
- https://globalpeoservices.com/top-15-countries-by-gdp-in-2022/
- https://companiesmarketcap.com/most-profitable-companies/
- https://companiesmarketcap.com
- https://www.forbes.com/real-time-billionaires/#2e83ff43d788
- https://www.tesla.com/about
- https://www.britannica.com/topic/Apple-Inc