หนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด

หลาย ๆ คนน่าจะนึกถึง แสนสิริ

ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) สามารถทำรายได้ 39,082 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,060 ล้านบาท

เท่ากับว่า ทุก ๆ รายได้ 100 บาทของแสนสิริ

จะเหลือกำไรเข้ากระเป๋าเจ้าของ 15 บาท

ซึ่งรายได้ของแสนสิริ ทุก ๆ 100 บาท จะแบ่งเป็น

- บ้านเดี่ยว 38 บาท

- คอนโดมิเนียม 27 บาท

- ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ มิกซ์โปรดักต์ 18 บาท

นอกจากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ แล้ว แสนสิริยังมีรายได้จากการบริการธุรกิจ เช่น การรับจ้างบริหารโครงการอสังหาฯ อื่น ๆ อีก 6 บาท

และยังมีรายได้จากการบริหารโรงแรมและกิจการโรงแรมเพิ่มเติม นั่นคือ “เดอะ เภรี” และ “เดอะ สแตนดาร์ด” ซึ่งคิดเป็น 3 บาท

และรายได้ที่เหลืออีก 8 บาท ก็มาจากโครงการให้เช่าอื่น ๆ รวมถึงการขายวัสดุก่อสร้าง และขายที่ดิน

ซึ่งพออ่านมาถึงตรงนี้ เราก็อาจสงสัยต่อว่า แล้วทำไมแสนสิริถึงเหลือกำไรแค่ 15 บาทเท่านั้น

คำตอบก็เพราะว่า ต้นทุนหลักที่มาจากการขาย

อสังหาฯ เช่น บ้านเดี่ยว หรือคอนโดมิเนียม สูงถึง 55.2 บาท

นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ซึ่งไล่ตั้งแต่เงินเดือนพนักงาน ค่าตอบแทน ไปจนถึงเงินเดือนผู้บริหาร คิดเป็น 10.4 บาท

เมื่อรวมกันแล้ว ต้นทุนตอนนี้เท่ากับ 65.6 บาท

และเหลือกำไรเพียง 34.4 บาทเท่านั้น

แต่ต้นทุนยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ ของแสนสิริก็มีต้นทุนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น

- ต้นทุนค่าบริหารโรงแรมและกิจการโรงแรม 5 บาท

- ต้นทุนบริการธุรกิจโครงการ 3.6 บาท

- ต้นทุนอื่น ๆ เช่น ขายวัสดุก่อสร้าง โครงการให้เช่า และต้นทุนทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ย อีก 1.8 บาท

เท่ากับว่า หากหักต้นทุนพวกนี้ออกไป และจ่ายภาษีต่าง ๆ แสนสิริจะเหลือกำไร 13.3 บาท

อย่างไรก็ตามแสนสิริยังมี ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจที่ไปลงทุน และรายได้ทางการเงินอีก 1.6 บาท

ทำให้สุดท้ายแล้ว แสนสิริเหลือกำไรประมาณ 15 บาท จากรายได้ทุก 100 บาท..

Nike เจ้าของแบรนด์กีฬา มูลค่ามากสุดในโลก รายได้ 100 บาท กำไร 10 บาท

MASTER เจ้าของโรงพยาบาลศัลยกรรมมาสเตอร์พีช รายได้ 100 บาท กำไร 20 บาท